วิวัฒนาการที่หลอกลวง

ต้นกำเนิด – กุญแจสู่การปกป้องความเชื่อ

by Ken Ham on กรกฎาคม 2, 2008

คำอุทิศ

หนังสือเล่มนี้อุทิศให้กับบุคคลพิเศษ ٣ กลุ่ม ถ้าปราศจากบุคคล ٣ กลุ่มนี้การพิมพ์ก็อาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้แด่คุณแม่และคุณพ่อสำหรับความยึดมั่นบนพระวจนะของพระเจ้าและ ต่อกลุ่มที่ยืนยันบนหลักคำสอนอันบริสุทธิ์ และต่อกลุ่มที่ไม่ประนีประนอมในการยอมรับของพระวจนะของพระเจ้า และหลักการของพระวจนะ ซึ่งพวกนี้ได้นำมาประยุกย์ในทุกๆด้านของชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้เข้ามาหาผมเพื่อสิทธิอำนาจอันสูงยิ่งของพระเจ้าได้ทรงเรียกผมเข้ามารับใช้พระเจ้าอย่างเต็มเวลา ผมคิดว่าพระเจ้าได้ทำเพื่อฝึกและเพื่อให้คุณพ่อ คุณแม่ที่ท่านยืนหยัดบนความจริงที่ไม่ผิดพลาดของพระวจนะจองพระเจ้า

สำหรับภรรยาที่รักของผม, มอลลี่ ผู้ที่เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยทุกแง่มุมของชึวิตการแต่งงานและการมีส่วนร่วมในพันธกิจการรับใช้ของการทรงสร้าง ความจริงใจของเธอ การอุทิศตัวอย่างคริสเตียน และการเสียสละ เพื่อคำนึงถึงการเข้าร่วมในการรับใช้ที่สำคัญนี้ของผมสามารถสรุปได้ด้วยคำของนางรูทใน นางรูธ ١:١٦, “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน” ภรรยาผมได้รับความสามารถพิเศษจากพระเจ้าและความรักของเธอสำหรับเด็กๆก็ได้รับการอวยพรและก็ได้ทำให้ผมได้มีเวลาในการประกาศพระวจนะพระเจ้าในฐานะที่เป็นพระผู้สร้างให้กับคนทั้งหลายในส่วนต่างๆของโลก

การแสดงความขอบคุณ

ในฐานะที่หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ได้เขียนจากประสบการณ์ที่สูงสุดของผมเป็นระยะเวลา ١٠ ปีที่ได้รับจากการทำพันธกิจการทรงสร้างในประเทศออสเตรเลียสิ่งนี้เป็นงานที่ไม่ง่ายในการที่จะกล่าวถึงบุคคลทั้งหลายที่ได้ช่วยเหลือและทำให้เกิดผลตลอดระยะเวลาในการรับใช้ เมื่อพวกเราได้เริ่มพันธกิจสมาคมวิทยาศาสตร์การทรงสร้างในประเทศออสเตรเลียเราก็ไม่ได้ตระหนักอย่างแน่นอนว่าผลที่จะเกิดขึ้นในการทำพันธกิจนี้จะมีความแตกต่างในส่วนอื่นๆของโลก ผู้ร่วมงานของผม ศาสตราจารย์ ยอห์นเรนเดล-ชอร์ท ดร.ยอห์น ออสกูด ดร.แอนดรู สเนลลิ่ง และ ดร.สตีฟ กูสเตฟสันจะจดจำการวิจัยและการบรรยายของเขาได้ว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อผมในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ผมอยากจะขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อ คุณ ดับเบิลยูเอฟจี แกดชี่ สาธุคุณ พี แกดชี่ คุณ โรเบิร์ต ดูเลน และ ดร.เล็น มอรีส สำหรับการตรวจทานและปรับปรุงต้นฉบับ ผมขอขอบคุณด้วยใจจริง เพื่อนที่รัก ดร.คาร์ล ไวท์แลนด์ ทั้งๆที่เป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ร้ายแรงทางรถยนต์ ท่านก็ได้ช่วยผมตรวจทานต้นฉบับหลายครั้ง การแนะนำของท่านทั้งหลายก็ได้รวบรวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้และก็เป็นการขัดเกลา ซึ่งผมไม่ต้องทำด้วยตัวผมเอง ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับเลขาของผมสองคนที่เสียสละคือ

แครอล แวน ลูนสำหรับการพิมพ์และพิมพ์สอบทานต้นฉบับ ขอบคุณต่อมากาเร็ต บักคานาน สำหรับการตรวจสอบที่ยอดเยี่ยมและละเอียดถี่ถ้วนในการที่ใช้เวลามากมายเพื่อที่จะรวบรวมต้นฉบับเข้าด้วยกัน ผมอยากขอขอบคุณเพื่อนที่ดีของผมและสมาคมวิทยาศาสตร์การทรงสร้างที่เป็นนักศิลปะชื่อสตีฟ แคนดโน สำหรับการใช้ของประทานที่พระเจ้าให้ในการเขียนภาพแสดงตลอดทั้งเล่ม รูปเหล่านี้ได้ใช้ในแผ่นใสในการบรรยายของผมที่มีประสิทธิภาพอย่างมากมายชื่อของดร.แกรี่ ปาร์กเกอร์ได้ปรากฏบางคราวตลอดหนังสือเล่มนี้ ดร.ปาร์กเกอร์เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในการด้านการกำเนิดของโลกและเป็นผู้แต่งหนังสือ ผมได้สิทธิพิเศษจากท่านในการรู้พื้นฐานต่างๆในประเทศออสเตรเลียและประเทศสหรัฐอเมริกา ประสบการณ์มากมายเหล่านี้ได้ร่วมกันและมีส่วนช่วยอย่างมากในหนังสือเล่มนี้

ที่สุด ผมอยากขอขอบคุณอย่างจริงใจต่อ ดร.เฮ็นรี่ มอร์ริส จากสถาบันการวิจัยการกำเนิด หนังสือของท่านชื่อว่า”The Genesis Record” ได้มีอิทธิพลมากมายต่อชีวิตผม ในความเคารพผมรู้สึกว่าได้ประโยชน์ และไม่มีข้อสงสัยในทุกหน้าของหนังสือเล่มนี้ และเพื่อๆทุกคนและผู้ร่วมงานของผม ที่ได้ผูกพันกับผมอย่างเหนียวแน่นเป็นเวลานานร่วมปี ขอขอบคุณ ผมอยากขอขอบคุณเพื่อนที่ดีของผมและสมาคมวิทยาศาสตร์การทรงสร้างที่เป็นนักศิลปะชื่อสตีฟ แคนดโน สำหรับการใช้ของประทานที่พระเจ้าให้ในการเขียนภาพแสดงตลอดทั้งเล่ม รูปเหล่านี้ได้ใช้ในแผ่นใสในการบรรยายของผมที่มีประสิทธิภาพอย่างมากมายชื่อของดร.แกรี่ ปาร์กเกอร์ ได้ปรากฏบางคราวตลอดหนังสือเล่มนี้ ดร.ปาร์กเกอร์ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในการด้านการกำเนิดของโลกและเป็นผู้แต่งหนังสือ ผมได้สิทธิพิเศษจากท่านในการรู้พื้นฐานต่างๆในประเทศออสเตรเลียและประเทศสหรัฐอเมริกา ประสบการณ์มากมายเหล่านี้ได้ร่วมกัน และมีส่วนช่วยอย่างมากในหนังสือเล่มนี้ที่สุด ผมอยากขอขอบคุณอย่างจริงใจต่อ ดร.เฮ็นรี่ มอร์ริส จากสถาบันการวิจัยการกำเนิด หนังสือของท่านชื่อว่า ”The Genesis Record” ได้มีอิทธิพลมากมายต่อชีวิตผม

ในความเคารพผมรู้สึกว่าได้ประโยชน์ และไม่มีข้อสงสัยในทุกหน้าของหนังสือเล่มนี้ และเพื่อๆทุกคนและผู้ร่วมงานของผม ที่ได้ผูกพันกับผมอย่างเหนียวแน่นเป็นเวลานานร่วมปี ขอขอบคุณ

สารบัญ

คำนำ

คำแนะนำ

บทที่ ١ กลุ่มคริสเตียนตกอยู่ภายใต้การโจมตี

บทที่ 2 วิวัฒนาการเป็นศาสนา

บทที่ 3 การสร้างโลกเป็นศาสนา

บทที่ 4 รากเหง้าของปัญหา

บทที่ ٥ พื้นฐานที่เสื่อมลง

บทที่ ٦ พระธรรมปฐมกาลมีความหมายที่สำคัญ

บทที่ ٧ ความตาย:เป็นการสาปแช่งและเป็นการอวยพร

บทที่ ٨ ความชั่วร้ายของวิวัฒนาการ

บทที่ ٩ การประกาศในโลกที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน

บทที่ ١٠ ตื่นเถิดผู้เลี้ยง

บทที่ ١١ การทรงสร้าง น้ำท่วมโลก ไฟที่กำลังจะมา

ภาคผนวกที่ ١ –เหตุผล ٢٠ ประการ

ทำไมพรธรรมปฐมกาลและวิวัฒนาการไม่สามารถเข้ากันได้

ภาคผนวกที่ ٢ –ทำไมพระเจ้าใช้หกวัน?

คำนำ

อาจเป็นไปได้ที่คุณไม่เคยได้รับผลสำเร็จในการเอาชนะเพื่อนของคุณและได้เห็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และพระบุตรคือองค์พระเยซูคริสต์ คุณอาจมีข้อสงสัยว่าทำไมคริสตจักรของคริสเตียนโดยทั่วไปดูเหมือนว่าจะสูญเสียอะไรไปโดยความบาปของโลกเรานี้ หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่จะชี้ให้เห็นถึงเหตุผลของปัญหาเหล่านี้แต่ยังให้คำตอบที่มีประสิทธิผล เมื่อคุณอ่านการวิเคราะห์สถานการณ์ของเค็น แฮมที่มีเหตุผลทางตรรกะและเป็นแนวตรงไปยังขบวนการแก้ไขที่มีวัตถุประสงค์ แล้วคุณจะมีคำถามในใจของคุณว่า “ทำไมฉันไม่คิดเช่นนั้น” ที่ได้เคยมีการเร่งผลทางนั้น สังคมก็ได้ตีตราการยอมรับแนวทางปฏิบัติมาหลายทศวรรษแล้วที่ไม่เพียงแต่จะคืบหน้าแต่ยังเป็นการทำผิดกฎหมายอย่างสมบูรณ์ เมื่อคริสจักรของกลุ่มคริสเตียนได้มีพลังที่สำคัญต่อสังคม ปัจจุบันร่องรอยเกือบทั้งหมดของมรดก คริสเตียนได้กำลังถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น หลังจากที่ได้แพร่กระจายไปเหมือนสัตว์ป่าที่เป็นศัตรูเล็กน้อยต่อผู้ที่เชื่อจนถึงสี่มุมของโลก ปัจจุบันคริสเตียนอบู่ในการถดถอยในอัตราที่รวดเร็วกว่าการแพร่ขยายโดยศัตรูเหล่านั้น

จะต้องมีรากของปัญหาสำหรับสิ่งนี้ที่คริสจักรของคริสเตียนกำลังมองข้าม- รากฐานได้ไฟล์เข้ามาในวิธีการของเรา ทำไมคริสเตียนใส่ผลกระทบต่อทั้งธรรมเนียมทางสังคมและกฎหมายของรัฐบาล แต่ปัจจุบันมีหารพบว่าได้เคยเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ ที่มีการเรียกกันว่าดินแดนแห่งเสรีภาพที่มีรัฐธรรมนูญที่ให้หลักประกันในรูปของศาสนา สิทธิของเขาเหล่านั้นจึงมีการฝ่าฝืนอย่างรุนแรง

เคน แฮมได้เข้าถึงก้นบึ้งของปัญหาในหนังสือนี้ เขาได้แสดงว่าเราจะต่อสู้อย่างง่ายๆกับอาการของรากปัญหาที่มองข้ามอย่างไร ทำไมเราไม่เคยที่จะโน้มน้าวโลกของความบาปในการละทิ้ง การหย่าร้าง การรักร่วมเพศ ภาพอันไม่เหมาะสม และยาเสพติดอย่างไร เคนแฮมได้ชี้ให้เห็นความจริงที่สำคัญอย่างยิ่งของเนื้อหาสาระ ความเป็นเหตุที่แหลมคมจนที่ศาสนาที่ใหญ่ๆได้เคยหลอกลวงและได้เคยล้มลงในความทรงจำ

ด้วยว่าการศึกษาเอกชนและแม้แต่การสอยในโรงเรียนพระคริสตธรรมที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการหรือกฎความโน้มถ่วงของโลกเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนได้เชื่อว่าสิ่งนี้จะต้องเป็นการอธิบายที่เกี่ยวกับธรรมชาจิสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งลืมเรื่องพระเจ้า ในทุกทาง พวกเขารู้ว่าบัญญัติ ١٠ ประการที่พระเจ้าได้ให้แก่มนุษย์เป็นเพียงการขัดขวางรูปแบบการมีเพศสัมพันธ์ดังนั้นพวกเขาได้ล้มเลิกข้อกำหนดเหล่านั้น เขาได้ดัดแปลง ศีลธรรมรูปแบบใหม่ ถ้าเป็นความรู้สึกที่ดีทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับหรือต้องการโดยปราศจากความเข้าใจ ถ้าไม่มีพระผู้สร้าง ก็จะไม่มีจุดประสงค์ในชีวิตดังนั้นไม่มีใครที่จะมองมาที่เราที่เขาจะนั้นเราตะตีองรับผิดชอบในการกระทำของเรา ดังนั้นเราจะมาสู่รากปัญหาของสังคม เมื่อพระเจ้าเป็นผู้สร้างได้ถูกเอาออกไปจากภาพนี้ ก็ไม่มีความสมบูรณ์ และมนุษย์ได้เป็นผู้ที่ไม่มีจุดหมายในความไร้จุดประสงค์ในจักรวาลถูกนำไปในความไม่แน่นอนของอารมณ์และสถานการณ์ชั่วขณะใดขณะหนึ่ง

ในแบบเฉพาะเคนแฮมได้แสองว่าปฐมกาลเป็นเรื่องราวที่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เป็นจริงที่ได้สนับสนุนโดยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่านั้นเคนแฮมได้แสดงการถามเกี่ยวกับหนังสือที่เป็นรากฐานของพระคัมภีร์เป็นอย่างไร แม้แต่โดยคริสเตียนหลายคนได้เคยนำไปสู่การเสื่อมถอยของสังคมเพื่อว่าเพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ทางศีลธรรมที่ยอมรับบนฐานของ”.ความเหมาะสมที่สุดในความรอด” “ทำสิ่งใดด้วยคุณเอง” และ “ถ้ามันรู้สึกว่าดี ให้ทำมัน” “ไม่มีศีลธรรมที่สมบูรณ์”

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่คริสเตียนทั้งหลายต้องอ่าน เป็นหนังสือที่ให้รูปแบบคำถามอย่างมากต่อคำถามธรรมดาของคนที่ไม่เชื่อและแนะนำพ่อแม่ผู้ที่เตรียมบุตรหลานในการเผชิญกับความไม่เห็นด้วยกับทางโลก แฮมได้เรียกร้องถึงประสบการณ์อันมีคุณค่าในการตอบคำถามในช่วงเวลาที่เขาได้บรรยายทั่วทั้งอเมริกาและออสเตรเลีย ลูเธอร์ ดี. ซันเดอร์แลนด์

คำแนะนำ

ผมได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวคริสเตียนที่พระคัมภีร์ได้ถูกยอมรับว่าไม่มีข้อผิดพลาดและไม่มีข้อผิด พระวจนะของพระเจ้าที่ได้ให้พื้นฐานแก่หลักการที่นำไปใช้ในทุกด้านของชีวิต ผมจำได้ถึงความขัดแย้งเมื่อผมเป็นนักเรียนชั้น ม. ปลาย ผมได้รับการสอนเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ ถ้าพระธรรมปฐมกาลไม่ได้เป็นจริงอย่างแท้จริง แล้วผมจะเชื่อส่วนไหนของพระคัมภีร์

พ่อและแม่ของผมรู้ว่าการวิวัฒนาการนั้นผิดเพราะว่าเป็นสิ่งที่ผิดชัดเจนไปจากปฐมกาลที่พระเจ้าได้ให้ความละเอียดแก่เราในการทรงสร้างโลก รายละเอียดเหล่านี้เป็นความจริงขั้นพื้นฐานที่สำคัญในความเป็น คริสเตียน ณ เวลานั้น โดยสถาบันสำหรับการวิจัยการทรงสร้างเกี่ยวกับกระแสของความมั่งคั่งของสิ่งต่างๆต่อประเด็นการทรงสร้างและการวิวัฒนาการได้เกิดขึ้นรั้นไม่มีข้อมูล ผมได้เรียกร้องต่อผู้รับใช้ในท้องถิ่นของผมและได้ถามเขาว่าคุณจะทำอย่างไรเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ เขาได้บอกให้ผมยอมรับวิวัฒนาการและก็เพิ่มเข้าไปในพระคัมภีร์เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ใช้วิวัฒนาการเพื่อที่จะนำรูปฟอร์มของชีวิตไปสู่สิ่งที่มีชีวิตอยู่ สิ่งนี้เป็นคำตอบของปัญหาที่ไม่น่าพอใจ ถ้าพระเจ้าไม่ได้หมายความสิ่งต่างๆที่พระองค์ได้ตรัสไว้ในปฐมกาล แล้วใครก็ตามจะเชื่อถือพระองค์ในพระคัมภีร์เล่มอื่นๆที่เหลือได้อย่างไร?

ผมได้กลับไปสำรวจดูปริญญาวิทยาศาสตร์ของผมและการฝึกอบรมจากครูของผมต่อปัญหานี้และได้กลับไปดูที่สิ่งที่ผมได้จดในชั้นเรียนถึงการบอกเล่าให้ผมยอมรับวิวัฒนาการ ผมไม่รู้ว่าจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไมผมถึงไม่เชื่อในวิวัฒนาการ แต่ผมรู้จากมุมมองของพระคัมภีร์ว่าเป็นสิ่งที่ผิดต่อความเชื่อของผมตกอยู่ความยากลำบาก

ก่อนที่ผมจะได้รับการนัดหมายให้สอน ผู้อำนวยการประสานงานของวิทยาลัยครูในออสเตรเลีย มิสเตอร์ กอร์ดอน โจเนส ( เป็นสมาชิกของคริสตจักรที่ผมได้ไปนมัสการ ) ได้ให้หนังสือเล่มเล็กๆแก่ผม เป็นโครงร่างของปัญหาที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการ เขาได้บอกผมเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ว่าได้เขียนเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้ ผู้แต่งหนังสือเช่น ดร. เฮ็นรี่ มอร์รีส ผมได้พยายามค้นหาหนังสือเพื่อที่จะรวมรวมเนื้อหาที่มากเท่าที่จะเป็นไปได้ เรื่อง The genesis flood แต่งโดย มอร์รีสและวิทคอม เป็นหนังสือเล่มแรกที่ผมได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อผมตระหนักว่ามีคำตอบที่ง่ายๆสำหรับภาวะวิกฤตของ การทรงสร้างและวิวัฒนาการ จากสภาวะที่แท้จริงของพระเจ้าที่ได้ออกไปและแบ่งปันข้อมูลให้แก่คนอื่นๆ ผมอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมคริสตจักรไม่ได้ทำให้คนทั่วไปตระหนักรู้ว่าข้อมูลที่ช่วยและทำให้มีความเชื่อในพระคัมภีร์

การเข้าใจถึงธรรมชาติขั้นพื้นฐานของพระคัมภีร์ปฐมกาลต่อหลักข้อเชื่อของคริสเตียนทั้งปวงได้กำลังเป็นที่กระตุ้น หนังสือเล่มนี้เป็นผลพวงของอนุกรมของการพัฒนาพระวจนะเพื่อว่าคริสเตียนจะได้เข้าใจถึงความสำคัญและความตรงประเด็นของพระธรรมปฐมกาลและธรรมชาติที่แท้จริงของการทรงสร้างและการวิวัฒนาการครั้งแล้วครั้งเล่าที่คนทั่วไปได้เข้ามาและกล่าวว่าเขาไม่ได้ตระหนักว่าพระคัมภีร์ปฐมกาลมีความสำคัญ โดยแท้จริงสำหรับพวกเขาคือความสมบูรณ์ที่ได้เปิดเผยถึงความเชื่อของเขา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้พอใจที่จะรู้ว่าคนเหล่านี้ยังคงให้คำมั่นสัญญาเพื่อสนับสนุนการรับใช้การทรงสร้าง

หนังสือเล่มนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพระธรรมปฐมกาล ผมอธิษฐานว่าหนังสือเล่มจะท้าทายจิตใจและหัวใจของศิษยาภิบาล ผู้รับใช้ นักวิชาการ และนักเรียน ให้คิดเหมือนกัน

บทที่ ١ กลุ่มคริสเตียนตกอยู่ภายใต้การโจมตี

หลังจากที่การบรรยายของผมจบลง ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาผมและถามว่า “คุณได้พูดอะไร… มันเกิดขึ้นฉับพลันราวกับแสงหลอดไฟส่องวาบเข้ามาที่หัวผม” เด็กผู้หญิงที่กำลังยืนอยู่ใกล้ผมได้พูดว่า “ฉันตระหนักว่าทุกวันนี้ ความเข้าใจของฉัน เกี่ยวกับคริสเตียนได้เป็นเริ่มต้น ตรงกลางของเรื่องภาพยนตร์ คุณได้นำฉันกลับไปสู่การเริ่มต้น ขณะนี้ฉันเข้าใจว่ามันมีเรื่องราวเป็นอย่างไร“ ชายวัยกลางคนได้กล่าวว่า “ข้อมูลข่าวสารเปรียบเสมือนกุญแจ มันไม่เพียงแต่ไขเพื่อเปิดเผยเหตุผล ให้รู้ว่าทำไม เราจึงมีปัญหาในสังคมปัจจุบัน มันเป็นกุญแจเพื่อจะรู้ว่าเราจะมีชีวิตที่เป็นพยานในองค์พระเยซูคริสต์ที่เกิดผลอย่างมากมายได้

ขอบคุณ” วันเหล่านี้เป็นวันที่กำลังท้าทาย สังคมทั้งหมด กำลังจะกลายเป็นสังคมที่ต่อต้านคริสเตียนอย่างมาก เราจะเห็นได้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่น ในเรื่องรักร่วมเพศ การสนับสนุนความต้องการทำแท้ง ความไม่ปรารถนาที่จะเชื่อฟัง การใช้สิทธิอำนาจ ความไม่ปรารถนาที่จะหางานทำ การแต่งงานที่ต้องห้าม เสื้อผ้าที่ต้องห้าม การเพิ่มขึ้นในสิ่งลามก และมีความไร้กฎหมายมากขึ้น คริสเตียนได้ต่อสู้เพื่ออิสระภาพของเขาเพื่อที่ได้เรียกว่าชนชาติ”คริสเตียน”สิ่งใดที่ได้เกิดขึ้นในสังคมก็เพื่อที่จะนำการเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งเหล่านี้? ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่คนส่วนมากชอบเยาะเย้ยถากถางเมื่อคุณพูดเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ และเข้าใกล้สู่พระกิตติคุณ? สิ่งเหล่านี้จะต้องเป็นเหตุผลพื้นฐานเพื่อการเปลี่ยนแปลงนี้ ในหนังสือเล่มนี้ เราจะค้นหาเหตุผลพื้นฐานที่ว่า ทำไมสังคมสมัยใหม่ ได้หันเหไปจากพระเยซูคริสต์ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (ที่ซึ่งประสบผลสำเร็จมาแล้ว) หนทางการเรียกร้อง การมีชีวิต สำหรับพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ที่จะเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของคุณ

Problems

หลายปีมาแล้วสังคมของเราได้มีพื้นฐานของคริสเตียนอย่างสมบูรณ์ ทุกคนรู้ว่าอะไรถูกและอะไรผิด การประพฤติ เช่นความเบี่ยงเบนทางเพศ การหย่าร้างอย่างง่ายดาย ความด้อยกฎหมาย ความต้องการในการทำแท้ง สิ่งลามกอนาจาร และ การเปลือยในที่สาธารณะ ได้ถูกพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ผิด มีการทำโทษหลายอย่างสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนซึ่งเขาได้ประสบโดยสังคม ที่มีคุณค่าในการตัดสิน สิ่งเหล่านี้ ได้เป็นการสร้างพื้นฐานบนหลักการเกี่ยวกับพระคัมภีร์ (เช่น บัญญัติสิบประการ) ประชาชนส่วนใหญ่ ยอมรับและเคารพความเชื่อในพระเจ้า

ในเร็วๆนี้คนส่วนมากปฏิเสธพระเจ้าในพระคัมภีร์ ในฐานะที่เป็นผู้ที่เชื่อพระเจ้าแต่ ก็ได้ละทิ้งพระเจ้าไป คนทั่วไปมีคำถามเกี่ยวกับพื้นฐานของสังคมที่ซึ่งพวกเขาอาศัยอยู่ ตัวอย่างเช่น ถ้าไม่มีพระเจ้า แล้วทำไมเขาควรที่ถูกห้ามการทำแท้ง แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ ครั้งหนึ่ง คนทั่วไปได้ละทิ้งพระเจ้าจากจิตใต้สำนึกของพวกเขา พวกเขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงกฏทั้งหลายบนความสมบูรณ์ของคริสเตียน ซึ่งได้ยึดมั่นในพระเจ้าที่เป็นพระผู้สร้าง (และเป็นเจ้าของ) สรรพสิ่งทั้งปวง ความสมบูรณ์ คริสเตียนได้ถูกทำให้เจือจางลง หรือเอาออกไปจากพื้นฐานของสังคม และถูกแทนที่ด้วยโลกทรรศน์ที่พูดว่า “เราไม่มีการยอมรับว่า หนทางของคริสเตียนในการกระทำ (บนโลกของเราและมุมมองชีวิตต่อหลักการเกี่ยวกับพระคัมภีร์) เป็นทางเดียวเท่านั้น เราจะต้องอดทนต่อความเชื่อของศาสนาต่างๆ และหนทางการดำเนินชีวิต อย่างไรก็ตาม ‘ความอดทน’ นี้ ความหมายที่แท้จริงคือ ความไม่อดทนในความสมบูรณ์ข้อคิดเห็น ความคิดที่ผิดของความอดทนนี้ ได้คุกคามความเชื่อคริสเตียน และ คริสเตียนส่วนมาก ไม่ได้ระลึกว่าที่จริงแล้ว เกิดอะไรขึ้น”

คริสเตียนมากมายได้ถูกหลอกลวงไปในความเชื่อ พวกเขาไม่มีสิทธิในการแสดงออกถึงภาพพจน์ของสังคม พวกเราถูกมองว่า พวกต่อต้านการทำแท้งนั้นเป็นพวกที่ไม่มีงานทำ และเป็นการลำเอียงในเรื่องนี้ต่อสังคม คุณเคยได้ยินคนกล่าวเกี่ยวกับกลุ่มนิยมทำแท้งหรือเปล่า ผลคือ เป็นการลำเอียงในการแสดงออกของสังคม โดยกลุ่มนิยมทำแท้งมีความต้องการให้ถูกกฎหมายโดยสมบูรณ์ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงความจริงที่มองเห็นว่า คนบางคนกระทำกับคนบางคน ไม่มีสิ่งใดที่เป็นกลาง แม้ว่าคริสเตียนตกอยู่ในกับดักของความเชื่อ

เหมือนกับสิ่งที่เกี่ยวกับศาสนศาสตร์มากมาย และวิทยาลัยพระคัมภีร์ ที่ว่า “เราไม่ทำหลักข้อเชื่อทางศาสนาที่ซึ่งยืนอยู่กับพระธรรมปฐมกาล เราอดทนในทุกมุมมอง “แต่อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคนบางคนเข้ามาและกล่าวว่า “คุณจะยอมให้มองว่าคุณต้องตีความปฐมกาลโดยความหมายที่แท้จริงหรือ” “ไม่เลย” เขาพูด “เราจะไม่สามารถให้มองเช่นนั้น เพราะว่าเราได้อดทนต่อทุกมุมมอง” ในความเป็นจริง พวกเขาได้นำหลักข้อเชื่อยืนยันการสอนหลักข้อเชื่อต่อนักเรียนของเขา มุมมองที่คุณมองจะต้องไม่สอนพระธรรมปฐมกาลตามความหมายที่แท้จริง ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะทำเช่นนั้น ในการบรรยายครั้งหนึ่ง ผมได้ให้คนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธ “นี่ไม่ยุติธรรม คุณกำลังย้ำว่า เรานำพระคัมภีร์ปฐมกาลมาใช้โดยการตีความหมายตามตัวอักษรมาใช้ ที่แท้จริงแล้วพระเจ้าได้ทำการใน หก วัน ซึ่งวิวัฒนาการนั้นไม่จริง และมีความจริงในเหตุการณ์น้ำท่วมโลก คุณคงไม่ทนต่อมุมมองของคนทั่วไป แต่

คุณจะต้องแสดงความอดทนต่อคนทั่วไปในเรื่อง เช่น ผมผู้ซึ่งเชื่อพระเจ้าได้ใช้วิวัฒนาการ และที่ว่าพระคัมภีร์ปฐมกาลเป็นเพียงสัญลักษณ์” แล้วผมได้ถามว่า “เอาละ คุณต้องการให้ผมทำอะไร” คนนั้นได้ตอบว่า “คุณต้องยอมให้คนอื่นมอง และมีความอดทนต่อความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากคุณ”เอาละ ผมได้พูดว่า “มุมมองของฉันที่ว่าการตีความที่แท้จริงของพระธรรมปฐมกาลเป็นการมองที่ถูกต้อง มุมมองอื่นต่อพระธรรมปฐมกาล ผิดหมด คุณจะอดทนต่อมุมมองนั้นหรือไม่” คนทั่วไปดูจะตกใจ และลังเลใจ เมื่อ ผมได้ยินถึงความคิดของเขาเกือบทั้งหมดที่ว่า “ถ้าผมตอบว่า ใช่ แล้วผมได้ยอมให้เขาให้พูดกับคุณ ไม่สามารถให้คนอื่นมองเหมือนอย่างที่คุณมอง ถ้าฉันพูดว่า ไม่ แล้วผมได้เห็นชัดเจนว่า ไม่มีความอดทนต่อการมองเช่นนั้น... ผมจะทำอะไร” แล้วเขามองมาที่ฉันและได้พูดว่า “นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความหมายทางภาษาศาสตร์” ความหมายที่แท้จริงหมายความว่า

เขาได้สูญเสียข้ออ้าง และไม่ต้องการที่จะยอมให้บทบาทที่ผมทำอยู่นั้นเปิดเผยออกมา ความจริงมีว่า เขาได้นำหลักข้อเชื่อมา ทำให้เป็นบทบาทที่ไม่ยอมรับ บางคราวคนทั่วไปอาจผิดหวัง เมื่อคำพูดตามหลักข้อเชื่อ ได้สร้างขึ้นมา พวกเขาจะพูดว่า “คุณไม่สามารถจะมีความเชื่อเช่นนั้น นี่เป็นคำพูดเกี่ยวกับหลักข้อเชื่อของเขาเอง คนหลบคนดีกว่า คนบางคนที่เป็นพวกที่หัวรั้นหัวดื้อ แต่คนอื่นไม่เป็นเช่นนั้น นี้ไม่ได้เป็นสาระที่ว่า คุณจะดื้อรั้นหรือไม่ แต่ที่หลักข้อเชื่อนั้นเป็นการตีความหมายที่เชื่อถือได้” ณ ครั้งหนึ่งมีกลุ่ม “ผู้ที่อดทน” ได้เกิดขึ้น พวกเหล่านี้ไม่ดึงดันต่อการอดทนของแนวทางศาสนาทั้งหมด ความเชื่อ และ ประเพณีปฏิบัติพวกเขากล่าวว่าเราต้องหยุดความไม่อดทนในสังคม ในการละเลยการส่งเสริมของเขาที่ได้อธิบายถึงจุดยืน มันเป็นความน่าสนใจว่าพวกเขาได้แสดงรายการทุกอย่างที่พวกเขาไม่เห็นด้วย และสิ่งเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้ที่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับพวกคริสเตียน สิ่งที่เขาหมายถึงจริงๆแล้วเป็นสิ่งที่เขาได้ทนต่อทุกสิ่งในสังคม เว้นไว้แต่พวกคริสเตียน ความคิดของการเปิดใจมาจากการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่สมบูรณ์ ความจริงนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้โดยสมบูรณ์ บางคนพูดว่า “ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์” เป็นการน่าขบขันที่ว่าคำมั่นสัญญานี้ได้กลายเป็นสิ่งสงบนิ่งอย่างสมบูรณ์ของพวกเขา ความคิดเช่นนั้นได้เป็นผลมาจากปรัชญาต่อต้านพระคริสตธรรมคัมภีร์ ซึ่งยึดมั่นว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กับความสมบูรณ์ของคริสเตียน – ความจริงเหล่านั้น

และมาตรฐานของพระวจนะที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้กำลังด้อยลง และลดความอดทนลงในสังคม ท้ายที่สุด ผลลัพธ์ก็จะตกอยู่กับแนวทางของพวกคริสเตียน เมื่อความสมบูรณ์ของคริสเตียนได้เป็นรากฐานของสังคม กิจกรรมที่ไร้ศีลธรรม เช่น พวกรักร่วมเพศ หรือพวกเลสเบียน และพวกลามก ก็เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ได้มีการยกระดับของหลักการพื้นฐาน สังคมของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานสัมพันธภาพทางศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถทำในสิ่งที่เขาชอบ และสามารถจะตอบคำถามให้กับตัวเอง แต่ไม่ได้ตอบคำถามให้คนอื่นจนกว่าผู้คนส่วนมากสามารถที่จะถูกชักชวนว่าพวกเขาสนใจ และไม่ได้ถูกข่มขู่ ผลลัพธ์นี้ในสังคมได้ถูกบอก

ว่า ไม่มีใครพูดได้ทุกสิ่งที่จะต่อต้านคนที่เลือกที่จะมีความเบี่ยงเบนทางเพศ จะออกไปสร้างชุมชนหรือทำในสิ่งที่เขาต้องการ (ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมาย) ซึ่งกำลังเปลี่ยนไปสู่ “ความอดทน” ของการกระทำของผู้คนทั่วไปความสมบูรณ์ของพระเจ้าได้บ่งบอกว่ามีการเหมือนการปกครอง โดยเราต้องยอมทำตาม พวกคริสเตียนไม่สามารถยืนดูสังคมโลกด้วย สัมพันธภาพที่สมบูรณ์อย่างเป็นพื้นฐานที่ คนใดคนหนึ่งหรือคนอื่นๆยอมทำตาม มีโลกทรรศน์อยู่ สองแบบที่แตกต่างกันในรากฐานความเชื่อทั้งหมด ทั้ง สองแบบก็ทำให้แตกแยกกันในสังคม สงครามที่แท้จริงได้ถูกทำให้คลุมเคลือจนเป็น สงครามฝ่ายจิตวิญญาณ ช่างน่าเศร้า ทุกวันนี้คริสเตียนส่วนมากล้มลงต่อชัยชนะในสงคราม คริสเตียนล้มเหลวที่จะรำลึกถึงธรรมชาติของสงคราม ชุมชนของผม มี ความขัดแย้งทางจิตวิญญาณซึ่งได้มีรากฐานในเรื่องจุดกำเนิด (การทรงสร้าง/ทฤษฏีวิวัฒนาการ) ถึงแม้ว่าความคิดอาจจะมีเสียงดังหรือใหม่สำหรับผู้อ่าน พระคัมภีร์และทางตรรกะ สิ่งนี้ได้ควบคุมอยู่ในสงครามของจิตใจมนุษย์ คนส่วนใหญ่มีความคิดที่ผิดเกี่ยวกับการทรงสร้างหรือทฤษฏีวิวัฒนาการ คำถามที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แทนที่การรับรู้ถึงความจริงที่ว่า เขาได้ถูกหลอกลวงไปในความเชื่อที่ว่า วิวัฒนาการเป็นวิทยาศาสตร์ วิวัฒนาการไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ทั้งหมด (ผมจะอธิบายในบทที่ สอง) มันเป็นระบบความเชื่อเกี่ยวกับอดีต

Scientist
Scientist

ตัวอย่าง

ซึ่งเราไม่ได้ให้มีการเข้าถึงอดีต เรามีเพียงปัจจุบัน ซากพืชซากสัตว์ทั้งหมด สัตว์ที่มีชีวิต และพืช ระบบสุริยะจักรวาล – ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในปัจจุบัน เราไม่สามารถที่จะทดสอบอดีตได้ตรงๆ โดยการใช้กรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ (ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรายงานของสิ่งต่างๆและเฝ้าดูการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านั้น) เพราะพยานหลักฐานทั้งหมด ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน เป็นความยากต่อความเข้าใจว่าเป็นแบบพิเศษการทรงสร้าง โดยนิยามมันเป็นความเชื่อเกี่ยวกับอดีต ความแตกต่างคือ การทรงสร้างเป็นพื้นฐานความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับการทรงสร้างตามหนังสือ ซึ่งเป็นการอ้างเพื่อที่จะเป็น “คำของคนหนึ่ง ผู้ซึ่งอยู่ที่นั่น” ผู้ซึ่งมีความรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง และมีความรู้ทุกอย่างที่นั่น และผู้ซึ่งพวกเราคิดว่าเกิดอะไรขึ้น วิวัฒนาการมาจากคำของมนุษย์ ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ที่นั่น และที่ไม่ได้ถูกกล่าวว่าเป็นเป็นผู้รู้สัพพัญญู ประเด็นเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นเงื่อนไขว่า เราเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า ผู้ซึ่งอยู่ที่นั่น หรือคำที่สอนผิดที่กล่าวถึง ใครอยู่ที่นั่น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่แปลกที่เรียกว่า ”ยุควิทยาศาสตร์” ซึ่งมีผู้ที่รู้น้อยมากว่า วิทยาศาสตร์แท้จริงคืออะไรและวิทยาศาสตร์ทำงานอย่างไรคนส่วนมากคิดว่าวิทยาศาสตร์มีความถูกต้องไม่ลำเอียงเพราะห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์มีความถูกต้องในการค้นคว้าหาความจริง อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์มีความคิดพื้นฐาน ที่ว่า ผู้ชายและผู้หญิงซึ่งก็เหมือนกับตัวผมและตัวคุณ พวกเขาเหล่านั้นมีความเชื่อและมีความลำเอียง ความลำเอียงชี้ให้เห็นว่าคุณทำขึ้นพร้อมหลักฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนทางที่คุณตัดสินใจว่าหลักฐานที่แท้จริงมีความตรงไปตรงมา หรือมีความสำคัญกว่าหลักฐานอื่นๆ นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้เบี่ยงเบนความจริง พวกนักวิทยาศาสตร์เป็นผู้ที่ไม่เป็นกลางคนส่วนมากเข้าใจผิดและมีความคิดลำเอียงที่ว่า คนแต่ละคนเป็นคนลำเอียง แต่บางคนไม่เป็นเช่นนั้น พิจารณาดูพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าจริงเป็นตัวอย่าง พวกคนเหล่านี้จะไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง พวกนี้สามารถจะถามว่า “พระเจ้าสร้างโลกหรือ” คำตอบคือว่า “ไม่ใช่” ตราบใดที่พวกเขาจะยอมรับว่า มันเป็นคำถามอาจจะไม่มีอะไรในเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์ เช่น น้ำท่วมโลกของโนอาห์ แม้ว่าเขาได้พบเรือขนาดใหญ่บนเทือกเขา อารารัต เขาก็ไม่เคยยอมรับว่านี่เป็นพยานหลักฐานที่จะสนับสนุนการกล่าวอ้างของพระคัมภีร์ โดยคำนึงถึง “เรือของโนอาห์” ตราบเท่าที่เขาได้เป็นผู้ที่ลำเอียง ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งนี้ควรจะถูกเก็บไว้ในใจไม่ว่าจะเป็นอะไร เมื่อเราอ่านตำราหรือดูโปรแกรมโทรทัศน์โดยผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ผมได้เห็นตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับความลำเอียงในหลายทาง ผมได้จัดรายการพูดคุยในวิทยุที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด และวิทยุได้กล่าวประกาศว่า ผมมีเวลาเจ็ดนาทีเพื่อที่จะให้พยานหลักฐานสำหรับการสร้างโลก เขาก็ได้นั่งลงและฟัง ดังนั้นผมได้อธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับที่พระคัมภีร์ กล่าวเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกของโนอาห์ หอบาเบล และหัวข้ออื่นๆที่เกี่ยวข้องกัน ผมได้อธิบายที่ว่าพยานหลายคนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันและรายงานของซากพืชซากสัตว์สนับสนุนอย่างไร ในสิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ ถึงหลักฐานต่างๆ ของการสร้างโลกได้ถูกสำรวจให้กับผู้ที่แสดงให้เห็นว่า เรื่องราวในพระคัมภีร์นั้นเป็นความจริง ในตอนจบของเจ็ดนาที ผู้จัดรายการก็เปิดสายทางบ้าน “เอาละ ผมไม่ได้ยินหลักฐานใดๆ ของการสร้างโลกทั้งหมด มากไปกว่านั้น” แน่นอนความหมายของเขาคือว่า เขาไม่ได้เตรียมที่จะยอมรับพยานหลักฐานที่ซึ่งผมได้ให้เขา เพราะว่าเขาต้องการที่จะดึงดันในความลำเอียงของเขาผู้ที่ไม่รู้เรื่องพระเจ้า(Agnosticism)จึงเป็นผู้ที่ลำเอียง ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาเชื่อว่าไม่มีใครเลยที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างแน่นอน ดังนั้น ไม่ว่าจะมีหลักฐานมากมายเพียงไรที่เขาได้ยิน เขายังจะคงพูดว่า “ผมไม่รู้” ตราบเท่าที่เขารู้เขาได้หยุดความไม่รู้ จากมุมมองที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์จากพระธรรมโรม ผมสอนว่า พยานหลักฐานสำหรับการสร้างโลกอยู่รอบตัวเรา ดังนั้น ใครก็ตามผู้ซึ่งไม่เชื่อในการสร้างโลก และพระผู้ช่วยให้รอด ถูกตำหนิเป็นความสำคัญต่อความทรงจำที่ว่า เราไม่จำเป็นต้องเห็นพระผู้สร้างเพื่อที่จะรู้ว่าการสร้างโลกที่แท้จริงเป็นความจริงเพียงไรเพราะว่า เราไม่สามารถเห็นสถาปนิกและผู้สร้างตึก ผู้ซึ่งออกแบบและก่อสร้างบ้าน ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความฉลาดในการออกแบบที่อยู่เบื้องหลังแต่สำหรับนักปฏิรูปซึ่งเป็นบุคคลที่เชื่อว่าพระเจ้าแห่งประวัติศาสตร์ได้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับพระองค์เองโดยทรงเขียนหนังสือ (หนังสือซึ่งเรียกร้องกว่า สามพันครั้งเพื่อเป็นพระวจนะของพระเจ้า) ดังนั้นเราสามารถที่จะพินิจพิจารณาคำถามที่ตรงกันข้ามว่า “พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้สร้างไม่ใช่หรือ” ไม่จริง เพราะว่าเขาเริ่มต้นที่พระสัญญาว่า พระเจ้าเป็นพระผู้สร้างและพระวจนะของพระเจ้าเป็นจริง ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ผู้ที่ไม่รู้และนักปฏิรูป (และผู้ที่เชื่อพระเจ้า) ยึดติดอยู่กับบทบาทเกี่ยวกับศาสนา และสิ่งที่เขาทำ ด้วยพยานหลักฐานจะได้รับการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยการตั้งสมมติฐาน (ความเชื่อ) ของศาสนาของเขาเหล่านั้น มันไม่ได้เป็นสาระว่า เขาได้ลำเอียงหรือไม่ มันเป็นคำถามที่แท้จริง ซึ่งความลำเอียงเป็นความลำเอียงที่ดีที่สุด เพราะมันจะถูกเบี่ยงเบนไปอย่างชัดเจน ตัวอย่างของความอนเอียงสามารถเห็นได้ในการศึกษาซึ่งไปในการตอบสนองต่อพันธกิจการรับใช้ของการสร้างโลก บทสนทนาต่อไปนี้ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นรูปแบบของนักเรียนในโรงเรียนทั่วไปที่แสดงว่าความลำเอียงทั้งหมดเกี่ยวกับอะไร หลังจากการนำเสนอเกี่ยวกับการสร้างโลก นักเรียนคนหนึ่งได้เริ่มต้นว่า “ไม่มีทางที่เรื่องของโนอาห์จะเป็นความจริง เขาไม่สามารถที่จะใส่สัตว์ทั้งหมดลงไปในเรือ” ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นสิ่งที่นักเรียนผู้ซึ่งไม่รู้ว่าเรือโนอาห์นี้ใหญ่เท่าไหร่หรือจำนวนของสัตว์มีเท่าไหร่ พระเจ้ามีความต้องการเพื่อที่จะใส่สัตว์ลงไปในเรือ vแต่เขาก็ได้ตัดสินใจแล้วว่ามันเป็นความยุติธรรมซึ่งไม่เคยปรากฏ ณ เมืองหนึ่ง การสนับสนุนอย่างหลักแหลมของพันธกิจการรับใช้ในการทรงสร้างของพระเจ้าได้บอกว่า เขาได้สอนตามหลักสูตรของ มหาวิทยาลัยท้องถิ่นเกี่ยวข้องกับน้ำท่วมโลกในสมัยโนอาห์อย่างไร เป็นที่แน่นอนว่าพวกเขาได้บิดเบือนข้อมูล เขาได้กล่าวอ้างว่า ในบางเวลา บางคนอาจพบเรือของโนอาห์ ณ ที่ภูเขาอารารัต ลูกศิษย์คนหนึ่งได้หันกลับไปที่ผู้สอน และกล่าวว่า แม้ว่าเขาทั้งหลายจะได้พบหลุมใหญ่ซึ่งเหมือนกับเรือของโนอาห์บนภูเขาอารารัต และลากมาไว้บนถนนหลักของเมือง เขาก็จะยังคงปฏิเสธที่จะเชื่อ การลำเอียงของเขาก็ได้แสดงออกให้เห็นว่ามีโอกาสหลายโอกาสที่ซึ่งผมสามารถให้คำแนะนำ และการนำเสนออย่างเป็นตรรกะต่อนักเรียน นักเรียนทุกคนมองไปที่ครูผู้สอน เพื่อพยายามที่จะทำประเด็นบางอย่างที่สามารถจะแสดงในที่ที่ผมได้เข้าใจผิด เป็นการง่ายที่จะอ่านอารมณ์การแสดงออกทางใบหน้าของนักเรียน พวกเขากำลังพูดว่า นี่เป็นเหมือนการโน้มน้าวให้เชื่อ แต่ที่แน่นอน จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดในตัวของมันเอง เพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีความเชื่อที่แท้จริงที่ว่าพระคัมภีร์เป็นจริง ครูผู้สอนอาจตอบสนองโดยการถามคำถามที่ว่า เสียงของนักเรียนดูราวกับว่าครูผู้สอนพิสูจน์ว่าไม่ถูกต้อง ในรายงานของนักศึกษาไม่มีหนทางอื่นใดที่ยอมให้ผมตอบคำถาม บ่อยครั้งที่นักเรียนจะหยุดการปรบมือ (วิธีของเขาในความชื่นชมยินดีมากว่าเขาคิดอะไร เป็นการปฏิเสธของผม) อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะเฝ้าดูใบหน้าของเขาและเห็นเสียงของเขาเบาลง เมื่อผมสามารถตอบคำถามอย่างมีเหตุผล พวกเขากลับไปในที่ที่พวกเขายืนอยู่เริ่มแรก มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่จะเห็นว่า ส่วนมากในพวกเขาเหล่านั้น เขาได้ตัดสินใจของพวกเขาแล้ว และตัดสินใจว่า พวกเขาจะไม่เชื่อพระคัมภีร์อย่างแท้จริง บ่อยครั้งที่ผมจะถามว่า คนส่วนมากเปลี่ยนแปลงความลำเอียงอย่างไร นี่เป็นคำถามที่ดีในฐานะที่เป็นคริสเตียน หนทางเดียวที่ผมสามารถตอบคำถามที่จะพูดว่า ในบริเวณนี้มีการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์ได้สอนว่า พวกเราได้เดินอยู่ในแสงสว่าง หรือในความมืด (กิจการ ٢٦.١٨) รวมกับหรือกระจัดกระจายเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ หรือ ต่อต้านพระองค์ (มัทธิว ٢:٣٠) พระคัมภีร์ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ไม่มีใครเลยที่เป็นกลาง และสิ่งที่แต่ละคนทำมีความไม่เที่ยงตรง เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งมีชัยชนะและโน้มน้าวให้เชื่อ ความจริงคนทั้งหลายมันเป็นเพียงงานที่ผ่านโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งความลำเอียงของเราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง ในฐานะที่เป็นคริสเตียน งานของเราคือการนำพระวจนะของพระเจ้าไปยังคนทั่วไปในวิถีทางที่ชัดเจน และมีสง่าราศี และการอธิษฐานซึ่งพระวิญญาณอาจใช้คำพูดของเราเพื่อเปิดหูคนให้ได้ยินและเปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์

BASIC INFLUENCE BIAS
ATHEISM NO GOD EXIST CAN’T CONSIDER CREATION 100%
AGNOSTIC DON’T CARE MUST EXCLUDE 100%
CAN’T KNOW DEFINITE ROLE OF
DON’T KNOW GOD OPEN?
THEISM GOD DEDUCED NO ABSOLUTES 100%
REVEALED GOD ABSOLUTE 100%
REVEALED REFERENCE
TO MAN POINTS

ผมเชื่อว่าคริสเตียนเข้าใจการลำเอียงดีกว่าคนอื่นๆ คริสเตียนทุกคนเป็นผู้ที่ครั้งหนึ่งได้สูญเสียความลำเอียงของบาปต่อพระเจ้า พวกเขาได้เห็นว่า พระเยซูคริสต์สามารถเปลี่ยนความได้อย่างไร ในขณะที่พวกเขาเปลี่ยนแปลงชีวิตผ่านทางพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกมีความลำบากในการพูดสนทนาต่อผู้ที่เชื่อในทฤษฏีวิวัฒนาการ เป็นเพราะหนทางที่ลำเอียงได้มีอิทธิพลต่อหนทางที่พวกเขาได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร พวกเขาได้รับรู้แนวความคิดมาก่อนแล้ว เกี่ยวกับว่ากำลังทำอะไรและไม่มีความเชื่อ พวกเขาได้มีอคติเกี่ยวกับว่าพวกเขาต้องการอะไร เพื่อที่จะเข้าใจเมื่อคำนึงถึงคุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์และคุณสมบัติอื่นๆ มีตัวอย่างผู้ที่เชื่อทฤษฏีวิวัฒนาการ และตัวอย่างผู้ซึ่งมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนมากหรือการตีความที่ผิดพลาดในสิ่งที่ผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกได้พูดออกมา พวกเขาได้ยินเราโดยผ่านทาง “หูที่เชื่อทฤษฏีวิวัฒนาการ” ไม่มีความเข้าใจในมุมมองที่คลาดเคลื่อนไปจากที่ซึ่งพวกเขาได้เชื่ออยู่ ในฐานะที่เป็นผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้าง เราเข้าใจว่าพระเจ้าสร้างโลกได้อย่างสมบูรณ์ มนุษย์ล้มลงในบาป โลกถูกแช่งสาป พระเจ้าทำให้น้ำท่วมโลกในสมัยของโนอาห์ ซึ่งเป็นการพิพากษาโลก และพระเยซูคริสต์ได้เสด็จเข้ามาในโลก แล้วพระองค์ได้ทรงสละพระชนม์ชีพและแสงฟื้นคืนชีพจากความตายเพื่อรักษาทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ในอีกทางหนึ่ง ข้อมูลข่าวสารเป็นหนึ่งในการทรงสร้าง การล้มลง และการได้บาป อย่างไรก็ตาม เหตุที่ว่านักวิวัฒนาการเคยชินกับความคิดใน “ติดรูปแบบ” (ความหมายคือ โดยพื้นฐาน โลกที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นโลกแห่งความตายและดิ้นรน โลกได้กลับคืนไปประมาณล้านปีมาแล้ว) พวกเขาไม่มีความเข้าใจว่า มุมมองของประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการทรงสร้างของพระเจ้าต่อสิ่งนี้ ดร.

แกรี่ ปาสเตอร์ ได้แปลความโดยยกตัวอย่างในการโต้วาทีกับศาสตราจารย์จากโลกโทรม จากมหาวิทยาลัยในวิคเตอร์เลีย ประเทศออสเตรเลีย หนึ่งในบรรดานักวิวัฒนาการได้ปฏิเสธถึงข้อความการทรงสร้าง ในความแน่ใจของพวกเขาความไม่สมบูรณ์มีในโลกเราทุกวันนี้มากต่อการได้เคยมีการสร้างโดยผู้สร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิวัฒนาการจะไม่มีความเข้าใจแม้ว่าหลังจากที่มีความชัดเจนว่าโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้ ไม่เหมือนกับโลกที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง เพราะเหตุว่าผลกระทบของการล้มลงในบาปและน้ำท่วมโลก เพื่อที่จะเข้าใจถึงประเด็นการทรงสร้างและวิวัฒนาการอย่างถูกต้อง เราต้องมีความเข้าใจที่สมบูรณ์ การยึดติดกับความเชื่อโดยทั้งผู้ที่เชื่อพระเจ้าทรงสร้างและผู้ที่เชื่อในทฤษฏีวิวัฒนาการ ในตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง นักชีววิทยาวิวัฒนาการ ได้กล่าวว่าถ้าพระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทุกชนิดในวันที่ห้าและการทรงสร้างในวันที่หก ทำไมเราไม่ได้พบกับนกแก้วพาราคีต (Parakeet) และหนูในยุคแคมเบียน และทรีโลไบต์ (Trilobite) ตามชั้นหิน (Strata) ดร. ปาร์กเกอร์ได้อธิบายว่า นกแก้วพาราคีตและหนูไม่ได้มีชีวิตในสภาวะแวดล้อมที่เหมือนกันเหมือนอย่างทรีโลไบต์ ดร.ปาร์กเกอร์ได้อธิบายแก่นักวิทยาศาสตร์ว่า ข้อมูลที่บันทึกเกี่ยวกับฟอสซิลควรจะถูกได้รับรู้ในรูปของการเรียงลำดับการกระทำของน้ำท่วมโลกทั้งหลาย เพราะว่าสัตว์และพืชอาศัยอยู่ในบริเวณที่แตกต่างกัน พวกมันอาจถูกกักกันในบริเวณที่มันอยู่ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า สภาวะแวดล้อมที่มันอยู่เป็นอย่างไร อีกครั้งหนึ่ง เราได้เห็นว่าการลำเอียงส่งผลต่อความเข้าผิดที่ว่ามีสิ่งมากมายได้แสดงต่อผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้าง ผู้อ่านจำเป็นต้องตระหนักว่า เมื่อเราถกเถียงการทรงสร้างและวิวัฒนาการในทั้งสองแบบ เรากำลังจะพูดถึงเรื่องความเชื่อซึ่งเป็นศาสนา ข้อโต้แย้งที่ว่าการไม่ได้เป็นศาสนากับวิทยาศาสตร์ ซึ่งผู้ที่เชื่อในวิวัฒนาการพยายามที่จะแต่งเรื่องขึ้น มันเป็นศาสนาหนึ่งกับศาสนาอื่นๆ วิทยาศาสตร์ของศาสนาหนึ่งกับวิทยาศาสตร์ของศาสนาอื่นๆ วิวัฒนาการเป็นศาสนาที่ว่าได้ทำให้เกิดความคิดของมนุษย์สูงขึ้น เราจะเห็นได้ว่า ผลของมัน (เพราะว่าการที่ปฏิเสธผู้สร้างและผู้ให้กฎเกณฑ์) เป็นความไร้กฎเกณฑ์ ไร้ศีลธรรม ความไม่บริสุทธิ์ การทำแท้ง เหยียดผิว และดูหมิ่นพระเจ้า การทรงสร้างของพระเจ้าเป็นศาสนาที่มีรากฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าและผลของมัน (ผ่านทางพระวิญญาณของพระเจ้า) เป็นความรัก ความชื่นชมยินดี ความสงบ ความอดทน ความกรุณา ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเองประเด็นการทรงสร้างหรือการวิวัฒนาการ (ประเด็นที่พระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง) เป็นสิ่งที่สำคัญหรือแก่นแท้ของปัญหาในสังคมโลกปัจจุบันนี้ เป็นประเด็นรากฐานซึ่งคริสเตียนจะต้องยึดมั่นไว้ ประเด็นการทรงสร้างหรือการวิวัฒนาการเป็นสิ่งที่ซึ่งทำให้เกิดสงครามแห่งความเดือดดาล

บทที่ 2 วิวัฒนาการเป็นศาสนา

ความหมายของคำว่า “นักวิวัฒนาการ” คำนี้ได้ถูกใช้อย่างกว้างขวางตลอดในบทที่จะกล่าวต่อๆไปนี้ ในส่วนอื่นๆของหนังสือนี้เราจะพูดกันในแนวความคิดของคริสเตียน ผู้ซึ่งพยายามเห็นด้วยกับแนวคิดของวิวัฒนาการและพระคริสตธรรมคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม เหตุเพราะว่า นักวิวัฒนาการส่วนมากไม่ได้เป็นคริสเตียน ผมปรารถนาให้ผู้อ่านมีความเข้าใจว่า ความหมายของคำว่า “นักวิวัฒนาการ”ซึ่งโดยปกติก็มีความหมายถึงผู้คนเหล่านั้นที่เชื่อในวิวัฒนาการ ในการรับรู้ที่เกี่ยวกับเวลา และการเปลี่ยนแปลงและการดิ้นรนสำหรับความอยู่รอด โดยให้ความสำคัญ มากกว่าพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่รับผิดชอบต่อชีวิตมนุษย์

ในฤดูใบไม้ร่วง คริสต์ศักราช 1985 (เล่มที่ 2, ฉบับที่ 5) ประเด็นของ The Southern Skeptic ผู้สงสัยตอนใต้ (นิตยสารทางการตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย สาขาของผู้สงสัยอเมริกา ความมุ่งหมายของเขาคล้ายกับกลุ่มนักมานุษยวิทยา อเมริกา) ได้ทุ่มเทอธิบายถึง 30 หน้า เพื่อที่จะโจมตีการรับใช้ทางวิทยาศาสตร์การทรงสร้างในประเทศออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา

ในหน้าสุดท้าย เราได้อ่านดังต่อไปนี้ “แม้ว่าถ้าพยานหลักฐานทั้งหมดยุติลง ด้วยการสนับสนุนทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ใดก็ตามที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ปฐมกาล สิ่งนี้ก็เป็นเพียงการแสดงถึงความชาญฉลาดของคนฮิบรูดั้งเดิม ได้มีสามัญสำนึกหรือเป็นความโชคดี มันไม่จำเป็นต้องได้รับการอธิบายโดยพระเจ้าที่ไม่สามารถสังเกตได้” ประชาชนเหล่านั้นผู้ซึ่งโจมตีอย่างรุนแรงต่อการรับใช้เกี่ยวกับการทรงสร้างในการกล่าวว่า เราเป็นกลุ่มทางศาสนา เป็นกลุ่มศาสนาด้วยตัวกลุ่มเอง พวกเขาได้พูดโดยแท้จริงว่า แม้ว่าพยานหลักฐานทั้งหมดสนับสนุนหนังสือพระธรรมปฐมกาล พวกเขาก็ยังคงไม่เชื่อ มันได้เป็นเอกสารที่เป็นความเห็นส่วนตัว พวกเขาได้ดำเนินการตั้งสมมุติฐานว่า พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นพระวจนะของพระเจ้า หรือไม่เคยเป็นเลย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่เชื่อว่าพยานหลักฐานเป็นอะไรและไม่มีพระเจ้า ผู้คนที่เชื่อเหล่านี้เชื่อว่า วิวัฒนาการเป็นจริง วิวัฒนาการ เป็นปรัชญาศาสนาโดยพื้นฐาน เราผู้ที่รับใช้ในการทรงสร้างได้กำลังอธิบายต่อประชาชนว่า ทั้งการทรงสร้างและวิวัฒนาการเป็นศาสนา มุมมองของชีวิต ความที่มนุษย์ได้สร้างให้กับสิ่งนี้ โดยเฉพาะทางด้านปรัชญาวิทยาศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ ดังนั้น ประเด็นก็อยู่ที่ว่า ไม่ใช่วิทยาศาสตร์กับศาสนา แต่เป็นศาสนากับศาสนา (วิทยาศาสตร์ของศาสนาหนึ่งกับวิทยาศาสตร์ของอีกศาสนาหนึ่ง) นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงนามว่า ธีโอดอร์เซียส ดอบซานสกี้ นำความตอนหนึ่งของ ปีแอร์ เธหาส เดอร์ แธนดิน ว่า “วิวัฒนาการเป็นแสงสว่าง ซึ่งแสดงให้เห็นความจริงทั้งหมด การเปิดเผยซึ่งแนวความคิดจะต้องคล้อยตาม” แท้จริง คริสเตียนนี่เป็นการปฏิเสธโดยตรงของการกล่าวถึงพระเยซูคริสต์ ดังที่ได้เขียนไว้ใน ยอห์น 8:12 “เราเป็นแสงสว่างแห่งโลก ผู้ที่จะมาในภายหลังเราจะไม่เดินในความมืด แต่เป็นแสงสว่างแห่งชีวิต” ในพระธรรมอิสยาห์ 2:5 เราได้ถูกเตือนว่า “เดินในแสงสว่างของพระเจ้า” ในข้อที่ 22 ของบทเดียวกันนี้ กล่าวว่า “กษัตริย์ซีซาร์ มาจากมนุษย์”

มันไม่ได้มีผลกระทบมากนัก เพื่อที่จะแสดงออกว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์แต่เป็นศาสนา เป็นที่แน่นอนที่ว่า วิทยาศาสตร์เกี่ยวพันกับการสังเกต โดยการใช้ความรู้สึก 5 อย่าง (รส, สายตา, กลิ่น, การได้ยิน, การสัมผัส) เพื่อที่จะได้รับความรู้เกี่ยวกับโลก และมีความสามารถที่จะทำการสังเกตหลายๆครั้ง โดยธรรมชาติ เราสามารถสังเกตเพียงว่าอะไรมีอยู่ในปัจจุบัน มันเป็นงานที่ง่ายเพื่อที่จะเข้าใจว่าไม่มีนักวิทยาศาสตร์ได้นำเสนอจุดหลักที่แนะนำแห่งปี เพื่อเป็นพยาน การสนับสนุนความก้าวหน้าอย่างวิวัฒนาการของชีวิต จากสิ่งที่ธรรมดา ไปสู่สิ่งที่สลับซับซ้อน

ไม่มีนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่นั่นเพื่อสังเกต การก่อร่างของชีวิตตอนแรกในบางบริเวณนั้น ไม่มีนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่นั่นเพื่อสังเกต หลุมดำ เพื่อสนับสนุนการได้เกิดขึ้นเมื่อ 10 หรือ 20 พันล้านปีมาแล้ว และก็ไม่ได้สนับสนุนการก่อร่างของโลกเมื่อ 4.5 พันล้านปีมาแล้ว (หรือกว่า 10,000 ปีมาแล้ว) ไม่มีนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่นั่น ไม่มีพยานบุคคลอยู่ที่นั่นที่จะเห็นเหตุการณ์เหล่านี้กำลังเกิดขึ้น พยานหลักฐานทั้งหมดที่นักวิทยาศาสตร์มีก็เพียงแต่ในปัจจุบันนั้น ซากพืชและสัตว์ทั้งหมด สัตว์และพืชที่มีชีวิต โลก จักรวาล ตามความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่าง ในปัจจุบันมีอยู่ขณะนี้ ผู้คนโดยเฉลี่ย (รวมทั้งนักเรียนส่วนใหญ่) ได้ถูกสอนว่านักวิทยาศาสตร์ได้มีเพียงปัจจุบัน และไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับอดีต

วิวัฒนาการเป็นความเชื่อเกี่ยวกับอดีตที่มีพื้นฐานบนคำพูดของมนุษย์ผู้ซึ่งพยายามอธิบายถึงพยานหลักฐานในปัจจุบัน (เช่น ฟอสซิลสัตว์ และพืช) ได้กำเนิดขึ้น พจนานุกรมของเว็บสเตอร์ได้นิยามคำว่า ศาสนา คำนี้ว่า “เหตุ, หลักการ, หรือ ระบบความเชื่อที่ติดยึดกับความศรัทธา” แน่นอน นี่เป็นการพรรณนาถึงวิวัฒนาการ วิวัฒนาการเป็นระบบความเชื่อ นั่นคือ ศาสนา มันเป็นเพียงสามัญสำนึกที่จะเข้าใจว่า ไม่มีใครขุดซากของไดโนเสาร์ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนถึงไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 70 – 200 ล้านปีมาแล้ว มีคนขุดซากไดโนเสาร์ขึ้นมา แต่อายุไม่ใช่ประมาณล้านปีมาแล้ว ซากกระดูกไม่สามารถจะบอกถึงว่ามีอายุมานานเท่าใด หรือการถ่ายภาพซากฟอสซิลก็ไม่ได้บอกว่ารูปร่างของสัตว์เป็นเช่นไร เม

Fossils

ื่อคนทั้งปวงมองถึงพิพิธภัณฑ์ พวกเขาได้รับการเผชิญกับสิ่งเก่าๆ และซากเก่าๆ ของกระดูกและซากพืชซากสัตว์อื่นๆซึ่งได้จัดวางไว้ในกล่องแก้ว สิ่งเหล่านี้ได้ประกอบไปด้วยรูปภาพที่นักศิลปะได้วาดแทนพืชหรือสัตว์ที่ควรจะเป็นในสภาพแวดล้อมที่เป็นปกติ จำได้ไหมว่า ไม่มีการขุดรูปภาพขึ้นมา แต่เป็นเพียงซากพืชซากสัตว์ และซากพืชซากสัตว์เหล่านั้นก็เป็นอยู่ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ในทัชมาเนีย มีเพียงหินทรายบรรจุชิ้นส่วนของกระดูกเป็นล้านๆ ชิ้นเหล่านั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงแค่นิ้วมือนักวิวัฒนาการได้วางรูปที่มุมแกะสลักเพื่อว่านักท่องเที่ยวสามารถเห็นว่าสัตว์และพืชเมื่อล้านปีมาแล้ว มีชีวิตอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นอย่างไร แต่คุณจะไม่เคยเห็นรูปภาพที่นักวิทยาศาสตร์ได้วาด รูปภาพในเรื่องราวเหล่านั้นของการลำเอียง และท้ายที่สุด มันก็เป็นอย่างที่มันเคยเป็น

เมื่อมีการบรรยายในโรงเรียนและในวิทยาลัย ผมชอบถามผู้รับฟังว่า เราสามารถจะสามารถเรียนอะไรจากซากพืชซากสัตว์ที่สะสมอยู่ ผมถามนักเรียน สัตว์และพืชทั้งหมดมีชีวิตร่วมกัน ตายด้วยกัน หรือฝังไว้ด้วยกันใช่หรือไม่ แล้วผมได้เตือนพวกเขาเพื่อทำให้แน่ใจว่า คำตอบที่พวกนักเรียนตอบผม เป็นการวิจัยให้เห็นจริงทางวิทยาศาสตร์

Expert opinion

ในฐานะที่เขาคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ เขาได้เข้ามาตระหนักว่า เขาไม่ได้รู้ ถ้ากระบวนการสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วยกัน เพราะเขาไม่เห็นว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้น พวกเขาไม่รู้ถ้าขบวนการของชีวิตตายด้วยกัน เพราะเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นเช่นนั้น สิ่งที่เขารู้ทั้งหมดคือ พวกมันถูกฝังด้วยกัน เพราะว่าพวกมันถูกพบด้วยกัน ดังนั้น ถ้าคุณพยายามที่จะสร้างสภาวะแวดล้อม ในที่ที่ขบวนการของชีวิต เพิ่งจะเกิดขึ้นในที่ที่คุณพบ คุณก็กำลังทำผิดพลาดอย่างมหันต์ การใช้วิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องเน้นในรายการศึกษาของเรา

มีหนทางเดียวที่บางคนอาจจะแน่ใจในผลสรุปเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง รวมถึงการกำเนิดนั้น ขึ้นอยู่กับทุกอย่างที่เขารู้ เว้นไว้แต่ว่า เขารู้ว่าทุกชิ้นส่วนเล็กๆของหลักฐานได้คงอยู่ เขาอาจจะไม่แน่ใจอย่างแท้จริงว่า ผลสรุปบางอย่างของเขาถูกต้อง เขาอาจไม่เคยรู้เลยว่า หลักฐานที่จะมีอาจจะถูกค้นพบ และสิ่งนี้อาจทำให้เขาเปลี่ยนแปลงข้อสรุปหรือไม่อย่างไร ไม่ทั้งใครอาจเคยรู้ ถ้าเขาพบประเด็นเมื่อเขามีหลักฐานทั้งหมด

นี่เป็นปัญหาที่แท้จริงสำหรับมนุษย์ทุกคน เป็นไปได้อย่างไรที่บางคนมีความแน่ใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์?

บางสิ่งมีสองคำตอบมิใช่หรือ?

มันเป็นเหมือนการจ้องมองเงื่อนงำของการฆาตกรรมในโทรทัศน์ อะไรเกิดขึ้น? มันชัดเจนเมื่อให้ดูผ่านไปสักครึ่งเรื่องก็จะรู้ว่าใครคือฆาตกร “หัวหน้าคนใช้” มุ่งไปที่จุดจบ ผลสรุปยังคงชัดเจน สามนาทีก่อนจบ หลักฐานใหม่ได้เปิดเผยขึ้นว่า คุณเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้นและทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ข้อสรุปทั้งหมดไม่ใช่ “หัวหน้าคนใช้” ทั้งหมดเลย

อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นด้วยหลักฐานของพระวจนะพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เราได้รับรู้ว่า ในพระเจ้า พระบิดา และพระเยซูคริสต์ “... ซึ่งคลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่าง ทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์” โคโรสี 2:3

ไม่มีหนทางใดที่จิตใจของมนุษย์จะสามารถรู้ได้ทั้งหมดที่เขาจะรู้ แต่มีบางคนรู้ นี่ก็เป็นจุดจบของเงื่อนงำ เราไม่ต้องสงสัยว่า พระเจ้าได้เปิดเผยในพระวจนะ พระองค์เป็นสิ่งที่เชื่อถือได้และถูกต้อง พระองค์ไม่ได้เป็นมนุษย์ธรรมดา ซึ่งพูดไม่จริง (กันดารวิถี 23:10)

ในเรื่องหลายอย่าง ในเวลานี้ เราจะรู้ได้อย่างเต็มเปี่ยม พระองค์จะไม่เพียงแต่เพิ่มความรู้ให้แก่เรา แต่พระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลงในพระวจนะของพระองค์ ไม่มีมนุษย์

ไม่มีวิทยาศาสตร์ที่มีพยานหลักฐานทั้งหมด สิ่งนี้แหละ ทำไมวิทยาศาสตร์ ทฤษฏีจึงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ดำเนินการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นักวิทยาศาสตร์ก็เปลี่ยนแปลงข้อสรุปอยู่เสมอ เรื่องราวนี้ได้บอกถึงบุคคลผู้ซึ่งได้หันกลับไปพบศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายปี หลังจากที่เขาได้จบปริญญาทางเศรษฐศาสตร์ เขาได้ถามคำถามในข้อสอบที่อาจารย์ใช้ในการสอบ เขาประหลาดใจที่เห็นว่า คำถามเหล่านั้น เป็นคำถามที่เหมือนกับคำถามในสมัยที่เขาเรียนอยู่ ผู้บรรยายได้ตอบว่า แม้ว่าคำถามจะเหมือนกัน แต่คำตอบเปลี่ยนแปลงไป

ครั้งหนึ่ง ผมได้โต้วาทีกับศาสตราจารย์ทางธรณีวิทยา จากมหาวิทยาลัยในอเมริกาทางรายการวิทยุ เขากล่าวว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง เพราะนักวิวัฒนาการได้เตรียมการเปลี่ยนแปลงในทฤษฏีของเขาอย่างต่อเนื่อง เมื่อไรที่เขาพบข้อมูลใหม่ๆ เขาได้พูดว่า การทรงสร้างของพระเจ้าไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์เพราะว่า มุมมองของผู้ทรงสร้างได้ถูกตั้งขึ้นโดยพระคัมภีร์ ดังนั้นจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ผมตอบว่า “ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร เป็นเพราะเราไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างมิใช่หรือ เราไม่มีพยานหลักฐานทั้งหมด”

“ใช่ สิ่งที่คุณพูดนั้นถูกต้อง” เขากล่าว

ผมตอบว่า “แต่ว่าเราจะไม่เคยรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง”

“ถูกต้อง” เขาตอบ

ผมย้ำว่า “แต่ว่าเราจะไม่ดำเนินการหาพยานหลักฐานใหม่ๆ”

“ถูกต้องทีเดียว” เขากล่าว

ผมตอบว่า “นั่นหมายความว่า

เราไม่สามารถแน่ใจเกี่ยวกับสิ่งใดๆ”

“ถูกต้อง” เขาตอบ

“นั่นหมายความว่า เราไม่สามารถแน่ใจในวิวัฒนาการ”

“ไม่ ไม่ วิวัฒนาการเป็นความจริง” เขาโพล่งออกมา เขาได้ดึงดันในตรรกะของเขา เขาได้แสดงถึงว่า มุมมองของเขาได้ชี้ให้เห็นถึงความลำเอียงของเขาอย่างไร

รูปแบบของวิทยาศาสตร์นี้ขึ้นอยู่กับ การเปลี่ยนแปลงของทั้งผู้ทรงสร้างและนักวิวัฒนาการ แต่ความเชื่อที่ว่า รูปแบบเหล่านี้ได้ถูกสร้างหรือไม่ถูกสร้าง ปัญหาคือว่า นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักว่า ความเชื่อ (หรือศาสนา) ของทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นพื้นฐานของรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ รูปแบบ (การแปลความหมายหรือเรื่องราว) ได้เคยพยายามเป็นคำอธิบายถึงเรื่องต่างๆในปัจจุบัน

นักวิวัฒนาการไม่ได้เตรียมตัวที่จะเปลี่ยนแปลง ความเชื่อที่แท้จริงของเขาที่เขาเชื่อว่า ชีวิตทั้งมวลสามารถได้รับการอธิบายโดยขบวนการ? และความเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าได้พัวพัน (หรือเมื่อต้องการ) ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นศาสนาที่พวกเขาได้ยึดมั่นต่อสัญญา คริสเตียนจำเป็นที่จะต้องตื่นขึ้นที่จะเข้าใจว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นศาสนา ไม่ใช่เป็นวิทยาศาสตร์

Evolution Religion

บทที่ 3 การทรงสร้างเป็นศาสนา

การทรงสร้างโลกทางพระคัมภีร์เป็นศาสนา ตามที่ซึ่งผู้สร้างที่ทางวิทยาศาสตร์กำลังยกย่องว่าได้สร้าง (บ่อยครั้งที่เรียกว่า การสร้างโลกทางวิทยาศาสตร์) สิ่งนี้มีพื้นฐานตามพระวจนะ (พระคัมภีร์) ของผู้ที่ซึ่งกล่าวอ้างว่า เป็นผู้ที่ได้อยู่ในอดีตของการสร้างโลกนั้น (ผู้ซึ่งตามความเป็นจริง อยู่นอกเหนือกาลเวลา) ผู้ที่ได้เคลื่อนมวลมนุษยชาติโดยพระวิญญาณของพระองค์เพื่อเขียนพระคำของพระองค์ เพื่อที่ว่าเราอาจจะมีพื้นฐานที่พอเพียงสำหรับการค้นหา และการเข้าใจว่า สิ่งที่เราต้องการที่จะรู้เกี่ยวกับการทรงสร้างของพระองค์

เราจำเป็นต้องนิยามในรายละเอียดว่า เราหมายถึงอะไรในมุมมองของผู้ทรงสร้าง โดยพื้นฐานนี้ประกอบไปด้วย มุมมองทางประวัติศาสตร์ 3 ทาง การทรงสร้างที่สมบูรณ์ การร่วมกับบาป การทรงช่วยให้กลับคืนดีโดยพระเยซูคริสต์ ผลสรุปของหลักการเหล่านี้มีดังต่อไปนี้

١. ใน 6 วัน พระเจ้าได้เนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสิ่งจากความว่างเปล่า แต่ละส่วนได้ถูกออกแบบมาเพื่อที่จะทำงานสอดประสานกับส่วนอื่นๆได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อพระเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง พระองค์ทรงเห็นว่า “ดีมาก” ไม่มีความตาย มนุษย์และสัตว์ทั้งหมดก็ได้กินพืช และแผ่นดินโลกก็มีบรรยากาศที่ร่มรื่นจากขั้วหนึ่งไปยังอีกขั้วหนึ่ง สายน้ำที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุก็มีอยู่สมบูรณ์และไม่มีลมพายุ

2. อย่างไรก็ตาม มนุษย์ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ดีเป็นเวลานาน เพราะว่าบรรพบุรุษของเราได้ใช้ ความเห็น อยู่เหนือพระวจนะของพระเจ้า (เหมือนกับที่มนุษย์กำลังทำอยู่) การดิ้นรน และความตายได้เข้ามาในโลก และพระเจ้าก็ได้สาปแช่งมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ชาร์ล ดาร์วิน ได้เรียกสิ่งนี้ว่า ดิ้นรนไปสู่ความตาย “การเลือกเกี่ยวกับธรรมชาติ” และนำเสนอทฤษฏีของเขาเพื่อแทนที่ผู้ทรงสร้าง ต่อมา นักวิวัฒนาการได้เพิ่มการเปลี่ยนแปลงโดยอุบัติเหตุในการกลับมาสู่ทฤษฏีของมนุษย์เอง แต่ความตายและอุบัติเหตุไม่ได้สร้างขึ้น มนุษย์ได้นำเชื้อโรค การติดเชื้อ และการเสื่อมสลายมาแทนที่ในโลกที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง

หลังจากที่มวลมนุษย์ชาติได้ทำบาปและกบฏ (ล้มลงในบาป) โลกก็เต็มไปด้วยความรุนแรงและเสื่อมลง พระเจ้าได้ทำลายโลกด้วยการทำให้น้ำท่วมโลก และได้ทำให้โนอาห์และครอบครัวได้รอดชีวิต และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเรือโนอาห์นั้น

ซากฟอสซิลได้ประกอบด้วยสิ่งต่างๆเป็นพันๆชิ้นฝังอยู่ในชั้นหินซึ่งท่วมไปด้วยน้ำทั้งโลก ทำให้เราได้เห็นถึงการพิพากษาความบาปของมนุษย์

3. หลังจากน้ำท่วมโลก เราพบว่าโลกก็ได้เต็มไปด้วยความรุนแรง ความเสื่อม และความตายอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่า ความบาปของมวลมนุษย์ได้ทำให้มนุษย์ใช้ความคิดเห็นมากกว่าที่จะใช้พระคำของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้เสด็จเข้ามาเพื่อรักษาและทำให้มนุษย์กลับคืนดี โดยพระองค์สละพระชนม์ชีพ และฟื้นคืนชีพขึ้นมา พระองค์มีชัยชนะเหนือความตาย เราอาจจะมีชีวิตเกิดใหม่อีกครั้ง และมีชีวิตนิรันดร์ โดยการถูกสร้างใหม่ในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น โดยความแน่ใจในการทรงสร้างของพระเจ้า พระวจนะ และการพิพากษาโลกด้วยน้ำท่วมโลก โลกที่ไม่เป็นของพระเจ้าจะถูกทำลายโดยไฟ อย่างไรก็ตาม ผู้คนซึ่งมั่นใจในพระเยซูคริสต์

พวกเขารอชีวิตนิรันดร์ในฟ้าสวรรค์ใหม่ และโลกใหม่ จะไม่มีการคร่ำครวญอีกต่อไป เพราะการแช่งสาปของพระเจ้าได้กำจัดไปหมดแล้ว พระคัมภีร์กล่าวอ้างว่า พระเจ้าทรงสัพพัญญูรู้ทุกสิ่ง พระองค์มีความรู้ทุกอย่าง ถ้าสิ่งนี้เป็นจริง แล้วพระคัมภีร์ก็เป็นคำของบางคนผู้ ซึ่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อที่จะรู้ ถ้าเราต้องการเข้าสู่ผลสรุปที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งใดๆ ทางที่แน่ใจก็เพียงแต่จะกล่าวโดยคำพูดของผู้นั้น ผู้ซึ่งมีความรู้อย่างสมบูรณ์ เราที่เป็นคริสเตียนจะต้องสร้างความคิดของเราในทุกๆบทในพระคัมภีร์ เราจะต้องเริ่มต้นด้วยพระคำพระเจ้า ไม่ใช่คำของมนุษย์ที่สามารถจะผิดพลาดได้ เราจะต้องพิพากษาว่า มนุษย์พูดว่าอะไรบนพื้นฐานของพระคำพระเจ้าพูดอะไร ไม่ใช่หนทางอื่นๆ

ในการสัมมนาครั้งหนึ่ง ผมได้กล่าวว่า เราจะต้องสร้างความคิดของเราทั้งหมดตามพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งจะต้องเป็นจุดยืนของเรา ผู้รับใช้ในท่าทางค่อนข้างโกรธได้กล่าวติว่า เขาสามารถจะเปิดพระคัมภีร์ เพื่อที่จะค้นหาว่า เราจะซ่อมรถได้อย่างไร เป็นการ ชี้ชัดว่า เขาไม่ได้เข้าใจว่าหลักการที่ครอบคลุมความคิดของเราในทุกๆด้าน มาจากพระวจนะพระเจ้า หลักการเหล่านี้ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน เพราะพระคัมภีร์ไม่ได้มีรายละเอียดในการซ่อมรถยนต์ แต่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีการพัฒนาการรถยนต์ก็ได้ทำให้เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์เริ่มต้นวางฐานวิทยาศาสตร์ตามพระคัมภีร์ ดังนั้น เครื่องยนต์นี้วิ่งตามกฎซึ่งพระเจ้าได้สร้างขึ้น เขาควรที่ค้นหากฎเหล่านี้ ซึ่งพระเจ้าได้สร้างและประยุกต์กฎเหล่านั้นในหลายๆด้าน

Bible

ไม่มีนักวิวัฒนาการได้แจ้งว่า คำถามของความจริงที่ว่า วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เกิดขึ้นจากพื้นฐานของพระคัมภีร์ ในอีกทางหนึ่ง สิ่งที่เราเชื่อและวิธีคิดของเราขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่เราได้เริ่มต้น พระคัมภีร์บรรจุหลักการขั้นพื้นฐาน ? และรายละเอียดที่จำเป็นเพื่อที่จะพัฒนาความคิดที่ถูกต้องในทุกๆด้าน

น่าผิดหวังที่ว่า คนส่วนมาก เริ่มต้นด้วยคำของมนุษย์ และแล้วก็ตัดสินพระคัมภีร์ กล่าวว่า ความหยิ่งเป็นอะไรเช่นนี้ เราไม่สามารถบอกพระเจ้าว่า พระองค์ควรพูดอะไร เราจะต้องเตรียมการทั้งหมดต่อสิทธิอำนาจของพระองค์ และจดบันทึกว่าพระองค์ได้พูดอะไรกับเราใช่ การทรงสร้างเป็นศาสนา แต่มันมีพื้นฐานจากการเปิดเผยจากการรู้ทุกอย่าง ผู้สร้าง วิวัฒนาการเป็นศาสนา แต่วิวัฒนาการไม่ได้มีพื้นฐานจากการเปิดเผยจากพระเจ้า แต่มีพื้นฐานมาจากคำของมนุษย์ ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ที่นั่น มนุษย์ผู้ซึ่ง (โดยการยอมรับของมนุษย์เอง) ไม่ได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง พระคัมภีร์ได้บอกเราว่ามนุษย์เหล่านี้เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าและพระคำของพระองค์ ถ้าพระคัมภีร์ไม่ใช่เป็นคำที่ไม่มีผิดของผู้หนึ่ง ผู้ที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเราไม่มีความจริงแท้เลย เราไม่สามารถแน่ใจเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วอะไรเป็นจริง คำของเรา คำของคุณ หรือคำของคนบางคนหรือ?

ผมได้นึกถึงการสัมมนาเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวว่า “ผมไม่สามารถเชื่อในการทรงสร้างของพระเจ้า ผมเชื่อในหลุมดำ และ

บิ๊กแบง มนุษย์เราเป็นผลผลิตโดยบังเอิญและกระบวนการสุ่ม ไม่มีพระเจ้า คุณจะพูดอะไรกับสิ่งนั้นหรือ”

ผมตอบว่า “เอาละ ถ้าคุณเป็นผลผลิตโดยบังเอิญ สมองของคุณก็เป็นผลผลิตโดยบังเอิญ ดังนั้น แบบแนวความคิดซึ่งกำหนดตรรกะของคุณก็ต้องเป็นผลผลิตโดยบังเอิญด้วยเหมือนกัน ถ้าตรรกะของคุณเป็นผลของขบวนการบังเอิญ คุณก็จะไม่สามารถแน่ใจว่ามันเกี่ยวพันกันอย่างเหมาะสม คุณอาจไม่สามารถแน่ใจได้ว่าคุณจะถามคำถามที่ถูกต้อง เพราะคุณไม่สามารถทดสอบตรรกะของ คุณเอง” เขาได้ถูกพบอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เขาได้เข้ามาและถามเกี่ยวกับหนังสือวิชาการที่ดีที่สุด และพูดว่า เขาอาจจำเป็นต้องคิดอย่างตลอดและจริงจัง เขาได้เริ่มต้นตระหนักว่า ปราศจากพระเจ้าโดยสมบูรณ์ มนุษย์ก็ไม่มีอะไรเลย

คริสเตียนมีพระคัมภีร์ ซึ่งอ้างได้ว่าเป็นพระวจนะพระเจ้า เราสามารถนำสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้และเข้าใจว่า หลักฐานที่ปรากฏขึ้นนั้น เป็นไปตามพระคัมภีร์ ถ้าเรานำเอาพระคัมภีร์ปฐมกาลซึ่งอ้างว่าเป็นเรื่องราวของจุดกำเนิดและประวัติศาสตร์ของเรา เราก็จะสามารถเห็นได้ว่า พระคัมภีร์ปฐมกาลพูดเกี่ยวกับโลกถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร อะไรเกิดขึ้นในลำดับต่อๆมา เราสามารถตัดสินใจได้ว่า เราคงคาดหวังเพื่อหาว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง (นี่เป็นรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ของเราที่เกี่ยวข้องกับการทรงสร้าง) แล้วเราสามารถมองไปที่โลกเพื่อที่จะเข้าใจว่า ถ้าพยานหลักฐานอยู่ที่นั้น (นั่นเป็นการตรวจสอบการปรากฏ พยานหลักฐานทั้งหมดที่เรามี เพื่อเข้าใจว่าถ้ามันเข้ากันได้กับรูปแบบของเรา)

ตัวอย่างเช่น เราได้ถูกบอกว่า พระเจ้าสร้างสิ่งที่มีชีวิตแยกตามชนิดหรือกลุ่ม ดังนั้น เราสามารกล่าวอ้างได้ว่า สัตว์หรือพืชต่างๆ ควรจะถูกพบตามชนิดของมัน ชนิดหนึ่งไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นชนิดอื่นได้ แท้จริงแล้ว สิ่งนี้เป็นจริงว่าเราพบอะไร (ในสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับ องค์ประกอบของฟอสซิล)

พระธรรมปฐมกาลบอกเราว่า เพราะว่าความชั่วร้าย พระเจ้าจึงทรงพิพากษาโลกโดยการทำให้น้ำท่วมไปทุกหนทุกแห่งในโลก ถ้าสิ่งนี้เป็นจริง ชนิดของพยานหลักฐาน เราคงจะพบไหม เราอาจคาดว่า เราคงจะพบซากฟอสซิลที่ตายพันปีมาแล้ว ฝังในชั้นหินปกคลุมด้วยน้ำ และขบวนการภัยพิบัติบนโลกส่วนใหญ่ นี่เป็นพยานหลักฐานที่เราสังเกตุ

ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ ١١ เราอ่านเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นที่หอบาเบล อีกครั้งหนึ่ง เราสามารถถามคำถาม ถ้าเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นจริง หลักฐานอะไรที่เราคาดว่าจะพบหรือ พยานหลักฐานจากวัฒนธรรมตลอดทั่วทั้งโลก เข้ากันได้กับสิ่งนี้หรือไม่

อีกครั้ง คำตอบคือใช่เลยทีเดียว มนุษย์ทั้งหมดสามารถมีลมหายใจ และผลิตลูกหลานโดยสมบูรณ์ เราทั้งหมดเป็นชนิดเดียวกัน มนุษย์ทุกคนมีสีผิวที่เหมือนกัน (ปฐมกาลบอกเราว่ามีความแตกต่างของสีหนึ่งสี) ถ้ามนุษย์ทุกคนมีบรรพบุรุษที่เหมือนกัน (โนอาห์ และอาดัม) แล้ววัฒนธรรมทั้งหมดได้ถูกตั้งขึ้นมา เพราะว่าน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์ และการแบ่งแยก ณ ที่หอบาเบล

นักวิวัฒนาการได้พูดเกี่ยวกับความแตกต่างกันของเชื้อชาติในโลกทุกวันนี้ คำว่า “เชื้อชาติ” สามารถใช้ในหลายๆทาง ขึ้นอยู่กับคำจำกัดความที่คุณยอมรับอย่างน่าเศร้าใจ นักวิวัฒนาการได้ใช้คำในความหมายว่า กลุ่มของมนุษย์บางกลุ่มไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันตราบเท่าที่มีสิ่งอื่นๆ เมื่อนักวิวัฒนาการใช้คำว่า “เชื้อชาติ” พวกเขาจะพูดอย่างแท้จริงเกี่ยวกับระดับที่แตกต่างของมนุษยชาติ ที่ขึ้นอยู่กับจุดซึ่งพวกเขาได้วิวัฒนาการ ด้วยเหตุว่า การสอนเกี่ยวกับการวิวัฒนาการ ผ่านทางระบบการศึกษาและสื่อสาธารณชนส่วนมากมีแนวโน้มที่คิดเกี่ยวกับคำว่า “เชื้อชาติ” การประยุกต์ต่อเชื้อสายของมนุษย์ในแนวของวิวัฒนาการ เนื่องจากว่า สถานการณ์นี้ มันได้เป็นสิ่งที่ดี สำหรับคริสเตียนที่จะพูดเกี่ยวกับเชื้อชาติหนึ่งโดยคำนึงถึงมนุษย์ ไม่มีความแตกต่างของเชื้อชาติ

พระเยซูได้ตรัสไว้ในพระธรรมลูกว่า “ในสมัยของโนอาห์เหตุการณ์ได้เป็นมาแล้วอย่างไร ในสมัยของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นไปอย่างนั้นด้วย” (ลูกา 17:26) เป็นที่รู้กันว่า เกือบจะทุกๆวัฒนธรรมในโลกได้มีเรื่องราวหรือตำนานที่ซึ่งคนหนึ่งคงจะเขียนหนังสือปฐมกาลทั้งหมด วัฒนธรรมส่วนใหญ่ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับน้ำท่วมไปทั่วทั้งโลก เหมือนกับน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์ ตำนานการทรงสร้างไม่ได้แตกต่างกับเรื่องราวในพระคัมภีร์ปฐมกาล โดยการคำนึงถึงการทรงสร้าง ผู้หญิง พาไปสู่ความตาย และจุดเริ่มต้นของผู้ชายและสัตว์ พืช (ปฐมกาล 1:29-30) อยู่ในกรอบวัฒนธรรมรอบโลก นี่เป็นพยานหลักฐานที่มีพลังซึ่งเรื่องราวนี้ส่งผ่านจากรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นหลังๆ เรื่องราวที่แท้จริงอยู่ในพระคัมภีร์ แต่วัฒนธรรมที่เหมือนรอบโลกไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคาดหวังจากมุมมองของระบบความเชื่อทางวิวัฒนาการ เราได้เรียกให้คืนกลับการสอนที่ว่า เหตุผลที่ชาวบาบิโลน (และอื่นๆ) ได้มีเรื่องราวเหมือนในปฐมกาลก็เพราะว่าชาวยิวได้ 101 ตำนานของชาวบาบิโลนแรกๆมารวมไว้ในการบันทึก

อย่างไรก็ตาม เมื่อความคิดนี้ได้ถูกตรวจสอบอย่างชัดเจน เราพบว่า เรื่องราวของชาวบาบิโลน ค่อนข้างแปลกประหลาด และไม่สามารถเชื่อถือได้ทีเดียวในทุกแง่มุม เช่น เรื่องราวของชาวบาบิโลน เข้าใจว่าน้ำท่วมโลกมีเทพได้ตัดโลกเป็นสองส่วน และน้ำก็ท่วมกระจายไป เมื่อเราอ่านเรื่องราวน้ำท่วมโลกจากพระคัมภีร์ เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างแท้จริง เมื่อคนหนึ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องราวก็ได้ส่งผ่านมา โดยการพูดต่อๆกันมา ไม่ได้ปรับปรุงตามอายุ ความจริงได้สูญหายไปและเรื่องราวก็ได้สร้างขึ้นตามมา การบันทึกทางพระคัมภีร์ได้ถูกถ่ายทอดทางรูปแบบการเขียน ได้อนุรักษ์อย่างระมัดระวังโดยผู้คอยเฝ้าระวังของพระเจ้าและก็ไม่ได้ถูกทำให้เสียหายไป

เรื่องราวของชาวบาบิโลนซึ่งเพียงสะท้อนความจริงที่บันทึกของพระคัมภีร์ เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้กลายเป็นสิ่งที่บิดเบือนเนื่องจากความจำกัดของความผิดพลาดของมนุษย์ ดังนั้น การเริ่มต้นจากพระคัมภีร์และเริ่มทำจากหลักฐานนี้ พยานหลักฐานของการปรากฏอยู่ควรจะเหมาะสม และสิ่งนี้ก็ได้ยืนยันความเชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม การพิสูจน์นี้ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับอดีต ไม่มีอะไรที่ต้องพิสูจน์เลย ไม่ทั้งการทรงสร้างและวิวัฒนาการ ที่สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

ระบบความเชื่อทั้งสองคือการทรงสร้างและวิวัฒนาการ ซึ่งส่งผลในรูปแบบทางวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างกัน และการแปลความของพยานหลักฐานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้ไม่ได้พูดว่า นักสร้างจะให้การอธิบายอย่าง١٧

ณ ที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ (ท่าทางเสียงดัง) ได้ยืนขึ้นและได้บอกกับคนในที่ประชุมว่า ไม่มีความเชื่อที่ผมได้พูด เขาได้กล่าวแก้พวกเหล่านั้นว่า ในฐานะที่ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมควรจะแสดงให้พวกเหล่านั้นทราบว่า ได้พูดอะไรไป การที่ น้ำท่วมโลกของโนอาห์ และการทรงสร้างนั้นผิดหลัก วิทยาศาสตร์ในคำพูดของเขาและได้พิสูจน์ว่า พระคัมภีร์ผิด เพราะว่าเขาได้พูดทิ้งไปว่าเขาเป็นคริสเตียน ผมได้ถามเขาว่า ถ้าเขาเชื่อว่าในประวัติศาสตร์มีบุคคลชื่อว่าโนอาห์ เขาได้พูดว่าเขาได้เชื่อสิ่งนี้

Evidences

ผมถามเขาว่าทำไม เขาบอกผมว่า เป็นเช่นนี้เพราะว่าเขาได้อ่านในพระคัมภีร์ ผมถามเขา ถ้าเขาเชื่อว่าได้เคยมีน้ำท่วมโลก เขาตอบว่าไม่มี ผมถามเขาว่า ทำไมเขาถึงไม่เชื่อว่า มีน้ำท่วมโลก vเขาได้ตอบจากวิทยาศาสตร์ว่าไม่เคยมีน้ำท่วมโลก วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ผิด ผมได้ถามเขาว่า เขาสามารถเชื่อมั่นในพระคัมภีร์ เมื่อพระคัมภีร์ได้พูดเกี่ยวกับน้ำท่วมสมัยโนอาห์ ผมได้แนะนำด้วยเหมือนกันว่า พยานหลักฐานที่เฉพาะนั้น เขาได้ใช้เพื่อที่จะบอกว่า มันอาจจะไม่มีน้ำท่วมโลกที่อาจจะตีความในทางอื่น

อย่างไรก็ตาม นั้นก็ไม่มีพยานหลักฐานทั้งหมดหรือสิ่งที่เรารู้บนสมมติฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในเทคโนโลยีมากมาย ที่ใช้เพื่อบอกอายุของโลก มันเป็นไปไม่ได้ที่การตีความหมายของเขาอาจจะผิด และพระคัมภีร์อาจเป็นจริงทั้งหมดหลังจากนั้น

เขายอมรับว่า เขาไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และมันก็เป็นไปได้ ที่มีข้อสมมติฐานเบื้องหลังบางส่วนของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ซึ่งเขาได้เคยอ้างถึงข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมนี้อาจเปลี่ยนการสรุปของเขาทั้งหมด เขาได้ยอมรับสิ่งนี้ว่าเป็นไปได้ แต่แล้ว เขาก็ได้ออกไปพูดว่า เขาไม่ได้เชื่อพระคัมภีร์ทั้งหมด (เช่น น้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์) จนกระทั่งวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ว่ามีน้ำท่วมโลกจริง มีปัญหาเกิดขึ้นอีกในความเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องราวทั้งหมด และความจริงที่ว่า วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องที่เกี่ยวกับอดีต ผมเชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้น การตีความในพยานหลักฐานก็มาจากพื้นฐานทางพระคัมภีร์ เขายอมรับพระคัมภีร์ได้บรรจุพระวจนะพระเจ้า แต่ต้องขึ้นอยู่กับการพิสูจน์โดยวิทยาศาสตร์ แน่ทีเดียว ถ้าคุณใช้วิธีการ ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นพบใหม่ และทฤษฏีของเขาได้เปลี่ยนท่าทีของคุณต่อพระคัมภีร์ วิธีนี้ก็จะต้องทำให้ท่าทีของคุณเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องด้วย เหมือนกัน คุณไม่สามารถที่จะแน่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างได้เพราะเป็นความไม่แน่นอน

ในระบบโรงเรียนทั่วไป ผมพยายามมั่นใจว่านักเรียนของผมได้รับการสอนและเข้าใจได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และคิดได้อย่างเป็นตรรกกะ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการสอนเรื่องการสร้างโลกในโรงเรียนทั่วไป วิธีการของผมแตกต่างออกไป ผมคงได้แสดงปัญหาให้นักศึกษาโดยทฤษฏีวิวัฒนาการ และพยานหลักฐานได้สนับสนุนมุมมองในการทรงสร้างอย่างไร อย่างไรก็ตาม

เมื่อนักเรียนได้ไปสู่ชั้นเรียนอีกชั้นหนึ่ง ที่ซึ่งครูเป็นนักวิวัฒนาการ ครูก็จะบอกปัดในพยานหลักฐานของนักเรียน ผมได้เคยใช้ว่าเป็นวิธีการของนักหาหลักฐาน เขาพยายามที่จะใช้หลักฐานเพื่อที่จะชักนำนักเรียนว่าเป็นการแสดงว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการผิด และการสร้างโลกถูกต้อง แล้วผมก็เปลี่ยนวิธีการและสอนนักเรียนว่า ธรรมชาติที่แท้จริงของวิทยาศาสตร์ เมื่อวิทยาศาสตร์สามารถและไม่สามารถทำได้

เราได้มองในรายละเอียดที่ความจำกัดที่ว่า วิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์กับอดีต พวกเขาได้ถูกบอกว่า นักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดมีความเชื่อ ซึ่งพวกเขาได้ใช้ความเชื่อในการตีความต่อพยานหลักฐาน ผมได้พูดกับพวกเขาว่า ความเชื่อของผมมาจากพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการทรงสร้าง การล้มลง น้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์ และหัวข้ออื่นๆ และคนๆหนึ่งสร้างวิธีการทรงวิทยาศาสตร์ตามกรอบงานนี้ สิ่งนี้ได้แสดงออกมาว่าพยานหลักฐาน เหมาะสมกับกรอบงานของการทรงสร้างนี้อย่างไร และไม่ได้อยู่ในกรอบของนักวิวัฒนาการ

ผมได้เริ่มการสอนในวิธีที่เรียกว่า “นักสมมติฐาน” สิ่งที่แตกต่างที่ทำให้น่าประหลาดใจคือ เมื่อนักเรียนเข้าไปในชั้นเรียนอื่นๆ และครูของพวกเขาเหล่านั้นพยายามที่จะตีความหมายพยานหลักฐานครั้งแล้วครั้งเล่า นักเรียนมีความสามารถที่จะชี้ให้ครูเห็นว่า เบื้องหลังมีสมมติฐานอยู่ในสิ่งที่ครูได้กำลังบรรยายอยู่นั้น นักเรียนจำได้ว่าเป็นระบบความเชื่อของครูที่กำหนดหนทางที่ซึ่งเขาได้มองไปที่พยานหลักฐาน คำถามที่เริ่มต้นได้อยู่นอกเหนือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์โดยตรง

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ครูบางคนฉงนว่า ในบางคราว ครูหนุ่มๆได้เข้ามาหาผม และพูดอย่างรุนแรงว่า ผมได้ทำลายความเชื่อของเธอกับนักเรียน เขาได้สอนนักเรียนของเธอว่า ถ่านได้ก่อตัวในสระน้ำกว่าล้านปี ผมได้สอนนักเรียนว่า มีทฤษฏีที่แตกต่างกันที่อธิบายถึงว่า ถ่านก่อร่างขึ้นมาอย่างไร เพราะว่าครูไม่ได้ชี้ให้เห็นว่า ข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์ และเธอได้สอนถึง ทฤษฏีของถ่านในแอ่งน้ำเป็นจริง ความเชื่อถือของเธอได้ถูกคุกคามโดยสายตาของนักเรียน เหตุผลที่ว่า เราโกรธอย่างมากที่เธอจะไม่หวนกลับมาคิดถึงสิ่งนี้อีก แล้วนักเรียนล่ะ ก็เช่นเดียวกัน

ผมอยากจะวิงวอนต่อใครก็ตามผู้ที่มีโอกาสสอนในเรื่องราวของการทรงสร้าง และทฤษฏีวิวัฒนาการควรมีการวิจัยอย่างระมัดระวังในวิธีการสอนของเขา ต้องแน่ใจว่านักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาในสาขาเหล่านี้ นั่นคือ การตั้งสมมติฐานมาก่อน และสมมติฐานที่เกี่ยวข้อง ไม่เพียงแต่นักเรียนจะเข้าใจประเด็นได้อย่างดี แต่พวกนักเรียนจะต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ และนำคิดแล้วได้ผลที่ดีกว่า

วิธีการในการตั้งสมมติฐานก่อนแล้วได้ผลอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา ทำให้เน้นย้ำถึงความจำกัดของวิทยาศาสตร์ ที่นักศึกษาได้ตั้งคำถามถามเมื่อจบวิชานั้น เมื่อมีการใช้วิธีการนักพยานหลักฐาน นักเรียนได้มีคำถามถามที่เป็นหัวข้อเช่น

“การบอกอายุจาก คาร์บอน 14 เกี่ยวกับอะไร”

“ซากฟอสซิลที่มีอายุเป็นล้านปีนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้มีการพิสูจน์หรือไม่”

“แน่ใจหรือไม่ที่สิ่งใดๆสามารถเกิดขึ้นได้โดยให้เวลาที่พอเพียง”

อย่างไรก็ตาม การให้มีการตั้งสมมติฐานก่อน (ซึ่งเป็นประเด็นที่จะนำไปสู่ระดับพื้นฐานความเชื่อ) เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นต่อการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ฟันเฟื่องในธรรมชาติของคำถาม “พระเจ้ามาจากไหน?”

“คุณรู้ได้อย่างไรว่า เราสามารถเชื่อได้ว่า พระคัมภีร์เป็นจริง?”

“ใครเขียนพระคัมภีร์?” “ทำไมคริสเตียนจึงดีกว่าพุทธศาสนิกชน?” นักเรียนได้เริ่มต้นที่จะเห็นประเด็นที่แท้จริง มันเป็นความขัดแย้งของความเชื่ออย่างสิ้นเชิง

ผลลัพธ์ของวิธีการนี้ได้ทำให้ประหลาดใจ นักเรียนมากมายได้ยินถึงการกล่าวอ้างของพระเยซูคริสต์ และได้แสดงความสนใจแท้จริงในพวกคริสเตียน ด้วยจำนวนคนที่กลับใจ การทำวิธีนี้ไม่เพียงสำหรับนักเรียนในโรงเรียนทั่วไป แต่สำหรับนักเรียนโรงเรียนคริสเตียนด้วยเหมือนกัน

เป็นวิธีการที่สำคัญด้วยเหมือนกันสำหรับสาธารณชนทั่วไป สิ่งหนึ่งที่พวกเขาจำได้คือว่า การสร้างโลกและทฤษฏีวิวัฒนาการมีความจริงที่เหมือนกัน ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังพูดถึงว่า มีการแปลความหมายแตกต่างกันของความจริงที่เหมือนกัน เขาเริ่มต้นเห็นข้อโต้แย้งอย่างจริงจัง สองศาสนาในความขัดแย้ง พยานหลักฐานมีความสำคัญ (ที่ซึ่งทำไมการทรงสร้างทำให้เกิดการค้นคว้า) แต่วิธีได้ใช้ในการนำเสนอ พยานหลักฐาน มีความสำคัญต่อความสำเร็จของการนำเสนอ

หลังจากที่ผมได้บรรยายในชั้นเรียนที่วิทยาลัยคริสเตียนในแคนซัส โดยการใช้ธรรมชาติเหมือนกับที่ได้อภิปรายกัน (มีการเพิ่มเติมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์) นักเรียนคนหนึ่งก็ได้ยืนขึ้นถามว่า “สิ่งที่คุณได้บรรยาย ดูประหนึ่งว่าเป็นตรรกะและน่าเชื่อในการยอมรับว่า พระคัมภีร์ปฐมกาลเป็นจริง แต่คุณอาจจะผิด เพราะศาสตราจารย์ทางธรณีวิทยาไม่เห็นด้วยกับคุณ ถ้าเขาอยู่ที่ในห้องนี้ ผมแน่ใจว่าเขาคงจะบอกคุณว่า คุณผิดตรงไหน แม้ว่าผมจะไม่สามารถเห็นมันได้ในขณะนี้”

ผมตอบว่า “แม้ว่า ศาสตราจารย์ทางธรณีวิทยาอยู่ที่นี่ และพูดว่าผมไม่เข้าใจ เพราะว่าผมไม่ได้เป็นนักธรณีวิทยา ถ้าสิ่งที่เขาพูดไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์แล้ว เขาก็ผิด ถ้าผมไม่สามารถอธิบาย ทำไมเขาจึงผิดในข้อโต้แย้งของเขา”

พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีข้อผิด ผมแน่ใจว่าผมไม่สามารถมีนักสร้างโลกธรณีวิทยาเพื่อที่จะหาว่า ทำไมศาสตราจารย์ของคุณผิด เพราะว่าพระคัมภีร์จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ

Religion School

แน่ทีเดียว คริสเตียนได้รับการอวยพรด้วยการมีชัยชนะซึ่งเกิดขึ้นจากงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องยอมรับพระคัมภีร์ในฐานะที่ไม่มีข้อผิดพลาด เป็นพระคำของพระเจ้าที่มีสิทธิอำนาจ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะไม่มีอะไรเลย ถ้าพระคัมภีร์เป็นคำถาม และไม่สามารถเชื่อได้ และถ้ามีการแปลความหมายหลายครั้งที่มนุษย์เชื่อว่ามนุษย์ค้นพบสิ่งต่างๆ แล้วเราจะไม่มีสิทธิอำนาจที่สมบูรณ์ เราจะไม่มีคำพูดของคนหนึ่งผู้ซึ่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งหมายความว่า เราไม่มีพื้นฐานของสิ่งใดๆเลย

ความจริงเป็นความรับรู้ทางจิตวิญญาณโดยปราศจากการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีความเข้าใจใดๆเลยที่เป็นความเข้าใจที่แท้จริง

บทที่ 4 รากเหง้าของปัญหา

ทำไมนักวิวัฒนาการไม่ต้องการที่จะยอมรับว่า วิวัฒนาการเป็นศาสนาที่แท้จริง?

มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับความจริงที่ว่า ไม่ว่าคุณเชื่อเกี่ยวกับจุดกำเนิดของคุณได้สิ่งผลต่อโลก ทรรศนะของคุณทั้งหมด ความหมายของชีวิต ถ้าไม่มีพระเจ้าและเราเป็นผลของโอกาสในขบวนการเชิงสุ่มปั มันหมายความว่า ไม่มีอำนาจใดที่สมบูรณ์ และถ้าไม่มีใครคนหนึ่งเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ แล้วทุกคนสามารถทำอะไรก็ตามที่เขาชอบหรือหวังในสิ่งที่เขาต้องการ ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นศาสนาซึ่งทำให้มนุษย์มีความยุติธรรมในการเขียนกฎของเขาขึ้นมา ความบาปของอาดัมได้เกิดขึ้นเพราะเขาไม่เชื่อฟังกฎเกณฑ์ของพระเจ้า และทำตามใจของเขาเอง เขากบฏต่อพระเจ้า และเราก็ต้องทนทุกข์ในความบาปเหมือนกับอาดัม

Worldview

เป็นการกบฏต่อสิทธิอำนาจที่สมบูรณ์ วิวัฒนาการได้กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ทางวิทยาศาสตร์” การตัดสินมนุษย์ในการกบฏต่อพระเจ้า พระคัมภีร์ได้บอกเราในพระคัมภีร์ปฐมกาลว่า มีความจริงและมีความเชื่อถือได้ในเรื่องราวของการกำเนิด และประวัติศาสตร์ยุคต้นของชีวิตบนโลก การเพิ่มจำนวนขึ้นของนักวิทยาศาสตร์เป็นการตระหนักว่า เมื่อคุณนำพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานในชีวิตของคุณ และสร้างรูปแบบของวิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ หลักฐานทั้งหมดจากสัตว์ที่มีชีวิตและพืช ฟอสซิลและความพอดีของวัฒนธรรม สิ่งนี้เป็นการยืนยันที่ว่า พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าจริง และสามารถเป็นความจริงได้ทั้งหมด

แน่นอน ความเป็นมนุษย์ฝ่ายโลกไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ เพราะว่าเขาไม่สามารถยอมให้ความเป็นไปได้ที่พระเจ้าเป็นผู้สร้าง เขาต่อสู้เพื่อมีผู้อธิษฐาน มีการอ่านพระคัมภีร์ และการสอนเรื่องการทรงสร้างได้บังคับหลักสูตรของโรงเรียนทั่วไป พวกเขาได้เบี่ยงเบนความคิดคนทั่วไป สิ่งนี้เป็นการกำจัดศาสนาจากโรงเรียน และละทิ้งสถานการณ์ที่เป็นกลาง สิ่งนี้ไม่เป็นจริง พวกเขาไม่ได้กำจัดความเชื่อทางศาสนาจากโรงเรียนทั่วไป พวกเขาได้ถูกกำจัดคริสเตียน และได้แทนที่มันด้วยความเชื่อที่ต่อต้านพระเจ้า – พวกมนุษย์นิยม

โรงเรียนสาธารณะชนส่วนใหญ่ ได้ถวายเป็นสถาบันที่ฝึกฝนเด็กในโรงเรียนในความเชื่อของมนุษย์นิยม มีพันธ์กิจการรับใช้ของครูคริสเตียนในการเคลื่อนไหวของโรงเรียนสาธารณะ ผู้ที่พยายามจะเป็น “เกลือแห่งแผ่นดินโลก” ในสถาบันเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็เพิ่มความยากต่อพวกเขา มีจำนวนครูคริสเตียนผู้ซึ่งซ่อนแสงสว่างภาพใต้พุ่มไม้

การทำให้ตกใจของคริสเตียนในสภาวะแวดล้อมของความเชื่อในเทพเจ้าอื่นๆ ครูบางคนได้ถูกคุกคามโดยการเลิกจ้าง ถ้าเขาดูประหนึ่งว่า กำลังสอนปรัชญา คริสเตียนในระบบการศึกษา เราเห็นการมีอารมณ์ที่สุกเหวี่ยงในปฏิกิริยาโต้ตอบต่อพันธ์กิจการรับใช้ของการทรงสร้างโลก รอบโลกนั้นได้กลายเป็นนักวิวัฒนาการศาสนาได้ถูกโจมตีโดยระบบความเชื่อที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ลัทธิใช้อารมณ์เช่นนี้สามารถเห็นในหนทางซึ่งมีการพูดถึงประเด็นต่อต้าน ผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก เช่นพิจารณาข้อความของ ดร.ไมเคิล อาเธอร์ (ผู้บรรยายอาวุโสทางสัตว์วิทยา ณ มหาวิทยาลัยนิวเซาว์เวล)

ใน Australian National History เล่มที่ 21 ฉบับที่ 1 ได้บันทึกไว้ว่า

“การสร้างโลกทางวิทยาศาสตร์ ไม่เพียงเป็นการผิด มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างชัดเจน มันเป็นการคิดของมนุษย์เชิงเปรียบเทียบ และใช้ความฉลาดของมนุษย์อย่างผิดๆ”

ในการสรุปต่อผู้ที่เชื่อ ต้องปรึกษาพระเจ้า สงครามที่แท้จริงอยู่กับความจริงที่ว่า คนทั่วไปไม่ต้องการยอมรับกลุ่มคริสเตียน เพราะพวกเขาจะไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้า ผู้ซึ่งสมมติขึ้นมาบางทีที่ว่าทำไม นักวิวัฒนาการคนหนึ่งได้บรรยายว่า ”คุณจะไม่เคยโน้มน้าวผมว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นความเชื่อทางศาสนา”

ในอีกด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะสามารถแสดงความเกี่ยวพันในเนื้อหาสาระของทฤษฏีวิวัฒนาการ เขาปฏิเสธที่จะยอมรับว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นความเชื่อทางศาสนา เขาไม่ต้องการยอมรับว่าเขามีความผิด เพราะว่าและแล้วเขาคงจะต้องยอมรับเป็นความเชื่อที่ถูกบดบังไว้ และเขาคงจะไม่สามารถที่จะพูดว่า มันเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง

สาธารณะชนได้มีการนำไปโดยผิดทางอย่างแท้จริงในทางความคิดที่ทฤษฏีวิวัฒนาการเป็นเพียงวิทยาศาสตร์ และเชื่อในพระเจ้า ที่เป็นเพียงศาสนา ทฤษฏีวิวัฒนาการได้เป็นเหตุให้คนส่วนมากสะดุด และไม่ฟังเมื่อคริสเตียนแบ่งปันให้กับพวกเขา ในความจริงของพระเจ้าที่เป็นผู้ทรงสร้างโลกคุณจะสังเกตในการคัดค้านของนักมนุษย์นิยม (โดยทางการโต้วาที หรือ ทางหนังสือ)ในพันธ์กิจการรับใช้เรื่องการทรงสร้าง ซึ่งพวกเขาได้แสดงหลักฐานที่หายากมากสำหรับทฤษฏีวิวัฒนาการ แน่นอน เหตุผลหลักคือว่า ไม่มีหลักฐานอะไรเลย

เดินไปในพิพิธภัณฑ์และได้มอง “พยานหลักฐาน” ทั้งหมดสำหรับการแสดงทฤษฏีวิวัฒนาการ สัตว์ต่างๆ แตกต่างตามชนิดของมัน และพืชได้เป็นตัวแทนโดยการอนุรักษ์สัตว์ชนิดต่างๆอย่างระมัดระวัง หรือโดยซากฟอสซิลจำนวนมาก คุณจะเห็นเรื่องราวของวิวัฒนาการในคำพูด แต่ไม่ใช่พยานหลักฐานที่คุณได้เห็น พยานหลักฐานอยู่ในกรอบของแว่นตา

เรื่องราวสมมติฐานของทฤษฏีวิวัฒนาการสามารถเห็นได้บนกรอบของแว่นตา นักวิวัฒนาการทั้งหมดได้นำพยานหลักฐานเพียงชิ้นเล็กๆหนึ่งชิ้น เพื่อพิสูจน์วิวัฒนาการ ถ้าพยานหลักฐานถูกต้องและการสร้างโลกโดยพระเจ้าไร้สาระ แล้วนักวิวัฒนาการจะมีสื่อที่พิสูจน์ให้กับทุกคนว่า วิวัฒนาการเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม พวกนักวิวัฒนาการไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ พยานหลักฐานอย่างท่วมท้นได้สนับสนุนอย่างจริงจังต่อสิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ พระคัมภีร์ได้แสดงว่า ผู้ที่เชื่อในการทรงสร้างของพระเจ้า ไม่มีสื่อทั้งหลายที่อธิบายต่อโลกโดยพยานหลักฐานอย่างท่วมท้น โดยความจริงของการทรงสร้างของพระเจ้า

ให้เราเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ นักวิวัฒนาการทางโลกต้องคัดค้านพันธ์กิจการทรงสร้าง เพราะว่า ถ้าเรากล่าวว่า สิ่งนี้ถูกต้อง ที่ว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง แล้วปรัชญาของพวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกทำลาย พื้นฐานสำหรับหลักปรัชญาข้อเชื่อคือว่า ไม่มีพระเจ้า ถ้าทฤษฏีวิวัฒนาการไม่เป็นความจริง ก็มีอีกทางเลือกหนึ่งคือ พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกนั้นจริง นี่แหละ เป็นเพราะพวกเขาจะต้องอิงอยู่กับปรัชญาเกี่ยวกับการวิวัฒนาการ แม้ว่าพยานหลักฐานขัดแย้งกันทั้งหมด นี้เป็นคำถามทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

Museum

บางคนอาจกล่าวว่า ถ้าพยานหลักฐานมีมากมายเช่นนั้น ที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้าง แน่นอน คนทั้งปวงคงจะเชื่อในพระธรรม

โรม 1:20 กล่าวว่า “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวร และเทวสภาพของพระองค์ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้น เขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย”

พระคัมภีร์บอกเราว่า มีหลักฐานในโลกนี้เพียงพอที่จะโน้มน้าวคนทั้งปวงว่า พระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง และลงโทษผู้ซึ่งไม่มีความเชื่อ ถ้าเป็นเช่นนั้น และพยานหลักฐานอยู่ที่นั่นทั้งหมด ทำไมคนทั่วไปไม่เชื่อในพยานหลักฐานเหล่านั้น?

เหตุเพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการเชื่อ ใช่หรือไม่? อัครทูตเปาโลกล่าวว่า ในวันสุดท้าย ผู้ชายจะจงใจหลงลืมว่า พระเจ้าสร้างโลก ในพระธรรม 2 เปโตร 3:5 กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าเขาแกล้งลืมข้อนี้เสีย คือโดยพระวจนะของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ได้อุบัติขึ้นตั้งแต่โบราณ และแผ่นดินโลกจึงได้เกิดขึ้นจากน้ำ และมีน้ำล้อมรอบทุกด้าน” นี่หมายความว่า เป็นความตั้งใจในส่วนของเขาเหล่านนั้นที่จะไม่เชื่อ

พระคัมภีร์ได้บอกเราด้วยเหมือนกันว่า “ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า” (โรม 3:11) และ “เพราะว่าพระเจ้าองค์นั้น ผู้ได้ตรัสสั่งให้ความสว่างออกมาจากความมืด ได้ทรงส่องสว่างเข้ามาในจิตใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้าปรากฏในพระพักตร์ของพระคริสต์” (2 โครินธ์ 4:6) “ในอีกด้านหนึ่ง นี่คือพระเจ้า ผู้ซึ่งเปิดหัวใจของเราไปสู่ความจริง เมื่อเราคิดถึงเรื่องราวของกษัตริย์ฟาโรห์ ผู้ซึ่งไม่ยอมให้ประชากรของพระเจ้าอพยพออกจากประเทศอียิปต์ พระคัมภีร์กล่าวว่า”แต่พระเยโฮวาห์ทรงทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกระด้าง พระองค์จึงไม่ยอมปล่อยเขาไป“ (อพยพ 10:27) ความคิดนี้ได้บันทึกใน อพยพ 7:14 กล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า "ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยให้พลไพร่ไป“

ในพันธ์สัญญาใหม่ เราได้อ่านว่า พระเยซูคริสต์สอนพวกฟาริสี และเขียนในคำอุปมาอุปไมยว่า “คำพยากรณ์ของอิสยาห์ก็สำเร็จในคนเหล่านั้นที่ว่า `พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่รับรู้ เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาเขาก็ปิด เกรงว่าในเวลาใดเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย” (มัทธิว 13:14-15) พระธรรมโรม 1:28 บอกเราว่า “และเพราะเขาไม่เห็นชอบที่จะรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้เขามีใจเลวทรามและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม“

ดังนั้น นี่คือพระเจ้า ผู้ซึ่งทำให้เราได้เห็นความจริง ให้เราเห็นว่าพยานหลักฐานอยู่ที่นั่นทั้งหมด ที่ว่าพระองค์เป็นผู้สร้าง อย่างไรก็ตาม ในความรับรู้ที่แท้จริงอย่างมากนั้น มีความตั้งใจที่จะเห็นสิ่งดีเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน เราไม่สามารถจะเป็นพวกมนุษย์นิยม นักวิวัฒนาการเห็นว่า พยานหลักฐานทั้งหมด สนับสนุนอย่างแท้จริงในสิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการจะเห็นมัน หรือเป็นเพราะว่า พยานหลักฐานไม่ได้อยู่ที่นั้น พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมให้พยานหลักฐาน ได้ถูกแปลความหมายอย่างถูกต้องในความสว่างของการสอนทางพระคัมภีร์

ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ 50 ข้อ 10 “ใครบ้างในพวกเจ้าเกรงกลัวพระเยโฮวาห์ และเชื่อฟังเสียงของผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ดำเนินในความมืด และไม่มีความสว่าง จงให้เขาวางใจในพระนามพระเยโฮวาห์ และพึ่งอาศัยพระเจ้าของเขา”

นี่เป็นคำอธิษฐานของผมที่ว่า คนเหล่านั้น ผู้ซึ่งคัดค้านว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง จะมาหาและเชื่อในพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อเราได้อ่านพระธรรมอิสยาห์ บทที่ 50 ควรจะทำให้เราแต่ละคนอธิษฐานมากขึ้นสำหรับพวกมนุษย์นิยมและนักวิวัฒนาการ ผู้ซึ่งต้องการที่จะเดินตามทางของตนเอง ในแรงของมนุษย์ จากพระธรรมอิสยาห์ 50:11 “ดูเถิด เจ้าทั้งสิ้นผู้ก่อไฟ ผู้เอาดุ้นไฟคาดตัวเจ้าไว้ จงเดินด้วยแสงไฟของเจ้า และด้วยแสงต้นไฟซึ่งเจ้าได้ก่อ เจ้าจะได้รับอย่างนี้จากมือของเรา คือเจ้าจะต้องนอนลงด้วยความเศร้าโศก“

เราไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ คือความตายที่จะเกิดกับมนุษย์คนใดๆ พระเจ้าได้ตรัสด้วยพระวจนะของพระองค์ว่า นี่ไม่ใช่เป็นความปรารถนาของพระองค์ที่จะให้คนใดๆพินาศ อย่างไรก็ตาม พระเจ้า (ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าแห่งความรัก) ก็เป็นพระเจ้าผู้ทรงพิพากษา และพระองค์ไม่สามารถมองที่บาป ดังนั้น ความบาปก็ได้ถูกตัดสินในความบาปอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม พระเจ้าในความเมตตานิรันดร์ของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า “-เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) ”ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์ ในพระองค์มีชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ทั้งปวง” (ยอห์น 1:1-4)

Adam Ape

บทที่ ٥ พื้นฐานที่เสื่อมลง

วิวัฒนาการได้เคยเป็นทฤษฎีที่ได้รับความนิยมอย่างมากและได้มีการนำเสนอให้เป็นผลงานทางวิชาการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นความจริงและคริสเตียนส่วนมากได้เพิ่มเติมความเชื่อวิวัฒนาการกับความเชื่อทางพระคัมภีร์โดยพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้าง ดังนั้นในขณะที่การรับรู้ของคริสเตียนส่วนมากเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้าง เขาได้ใช้กระบวนการของการวิวัฒนาการเพื่อที่จะนำสิ่งต่างๆทั้งหลายเข้าสู่สิ่งที่มีชีวิต สิ่งนี้เรียกโดยทั่วไปว่า “วิวัฒนาการทางศาสนศาสตร์” (theistic evolution) ความสับสนที่แพร่ออกไปอย่างมากได้ส่งผลโดยเป็นเหตุให้มีคำถามมากมายจากประโยคง่ายๆจากพระคัมภีร์ คริสเตียนก็ไม่ได้แน่ใจอีกต่อไปว่าอะไรเป็นความจริงหรืออะไรไม่จริง คริสเตียนส่วนมากก็ไม่ได้ตระหนักถึงประเด็นความสำคัญทางพื้นฐานของการสร้างโลกและทฤษฎีวิวัฒนาการ ตามที่ได้ชี้ให้เห็นว่ามีการประชุมระหว่างจุดกำเนิดและประเด็นที่ส่งผลกระทบสังคม เช่น การแต่งงาน การสวมใส่เสื้อผ้า การทำแท้ง การเบี่ยงเบนทางเพศ สิทธิอำนาจของผู้ปกครอง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความเชื่อของเราควรจะสัมพันธ์อย่างไรต่อสิ่งเหล่านี้ คริสเตียนจำเป็นต้องมองอย่างลึกลงไปในเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้มีความเชื่อในสิ่งที่เขากระทำ การที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งนี้ เพื่อที่เริ่มในการทำความเข้าใจสิ่งนี้เราจะต้องเริ่มพิจารณาการทรงสร้างของพระเจ้าในพระธรรมปฐมการอย่างตรงประเด็น ในพระธรรมยอห์น ٥:٤٦-٤٧ เราได้อ่านคำของพระเยซูคริสต์ “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านทั้งหลายก็จะเชื่อเรา เพราะโมเสสได้เขียนกล่าวถึงเรา แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรื่องที่โมเสสเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อถ้อยคำของเราอย่างไรได้ ” และจากพระธรรม ลูกา ١٦ :٣١ “อับราฮัมจึงตอบเขาว่า `ถ้าเขาไม่ฟังโมเสสและพวกศาสดาพยากรณ์ แม้คนหนึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย เขาก็จะยังไม่เชื่อ ” การอ้างอิงทั้งสองมีความสำคัญอย่างมากในการเขียนของโมเสส โดยการเริ่มต้นจากพระธรรมปฐมการ จากพระธรรมลูกา ٢٤ :٤٤ พระเยซูคริสต์ได้อ้างถึง “ กฎของโมเสส “ โดยการอ้างอย่างชัดเจนตามกฎจากหนังสือห้าเล่มแรก(Pentateuch) ชึ่งประกอบด้วย ปฐมกาลโดยการยอมรับว่าเป็นหนังสือที่โมเสสเป็นผู้เขียน จากพระธรรม กิจการ ٢٨:٢٣ เราได้รู้ว่าอาจารย์เปาโลได้เทศนาที่กรุงโรมเกี่ยวกับพระเยซู โมเสสและผู้เผยพระวจนะสิ่งทั้งหมดอ้างอิงจากการเขียนของโมเสสและมีหนังสือหนึ่งเล่มของโมเสสที่อ้างถึงหลายครั้งในเล่มที่เหลือมากกว่าเล่มอื่นๆ หนังสือนี่คือพระธรรมปฐมกาลแต่ในทางศาสนศาสตร์และวิทยาลัยพระคริสตธรรมในแวดวงคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียนชึ่งหนังสือพระธรรมในพระคัมภีร์เป็นที่ถูกโจมตี เยาะเย้ย ถากถาง โยนทิ้ง เปรียบเปรย และ เป็นตำนาน ? หนังสือพระธรรมปฐมกาล ! มีการเขียนถึงมากซึ่งได้นำข้อความมาใช้มากกว่าเล่มอื่นๆโดยการนำมาโจมตี ทำให้หมดความเชื่อถือหรือขจัดทิ้งไป ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

Crumbling

พื้นฐานภายใต้การโจมตี

พระธรรมสดุดี ١١: ٣ “ถ้าพื้นฐานถูกทำลาย แล้วผู้ชอบธรรมจะทำอะไร? “ เป็นความสำคัญที่เข้าใจความสัมพันธ์ซึ่ง พระธรรมสดุดีได้กำลังเขียนถึงสังคมที่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางจริยธรรม โดยข้อตกลงร่วมซึ่งบางครั้งถูกเรียกว่า สัญญาประชาคมของมนุษย์ ในสังคมที่มีระบบระเบียบและเจริญรุ่งเรือง ได้ตั้งรายการต่อความประพฤติจองตนเองตามคำสั่งที่เขานำมาใช้ ข้อเลือกอะไรที่มนุษย์มีที่เป็นผู้เสาะหาความสงบ? ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้มองเห็นความจริงที่ว่าเมื่อไรก็ตามที่พื้นฐานทางสังคมถูกคุกคามแล้วอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่ผู้คนและที่ชอบธรรมได้ทำเพื่อป้องกันการพังทลายที่พร้อมอยู่? ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ได้ยกมาถูกต้องในการกล่าวถึงว่าพระเยซูคริสต์เป็นรากฐานและพระองค์ไม่สามารถถูกทำลายลงได้ในบริบทที่ซึ่งได้กล่าวนำมาจาก พระธรรมสดุดี บทที่ ١١ เราได้พูดเกี่ยวกับความรู้ที่เป็นรากฐานตามที่กรอบจริยธรรมของเราได้ก่อร่างขึ้น ความรู้แห่งรากฐานของพระเยซูคริสต์ที่เป็นพระผู้สร้างสามารถที่จะยกออกไปขากความคิดของคนทั่วไป ไม่ว่าเขาจะมาจาก ออสเตรเลีย อเมริกา อังกฤษ หรือสังคมอื่นใด การกระทำนี้ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นพระผู้สร้างหรือไม่ได้หมายความว่าเขาได้ตั้งใจ อย่างไรก็ตามหมายความว่าในชนชาติเหล่านั้นที่ได้ละทิ้งพื้นฐานรากความเปราะบางทั้งหมดของสังคมไทยจะรับทุกข์จากผลที่ตามมา ถ้าคุณทำลายรากฐานของสิ่งใดๆ โครงสร้างจะล้มลงไปด้วย ถ้าคุณต้องการที่จะทำลายสิ่งปลูกสร้างใดๆ คุณจะได้รับความสำเร็จขั้นต้นอย่างแน่นอนถ้าคุณทำลายรากฐานของมัน เช่นเดียวกับถ้าคุณต้องการที่จะทำลายพวกคริสเตียน นั่นคือคุณต้องทำลายรากฐานที่ได้ตั้งอยู่ในพระธรรมปฐมกาล เป็นที่น่าประหลาดที่ได้พบว่าซาตานกำลังทำลายพระธรรมปฐมกาลมากกว่าพระธรรมเล่มอื่นๆไม่ใช่หรือ? หลักข้อเชื่อทางพระคัมภีร์ของเรื่องจุดกำเนิดที่ได้บันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาล เป็นพื้นฐานของหลักข้อเชื่อของคริสเตียนในพระวจนะอื่นๆการปฏิเสธหรือคุกคามในทางใดๆเกี่ยวกับหลักข้อเชื่อเรื่องจุดกำเนิดทางพระคัมภีร์และส่วนที่เหลืออื่นๆของพระคัมภีร์ได้ถูกทำให้เข้าใจ ทุกๆหลักเดียวชองข้อเชื่อทางพระคัมภีร์ในศาสนศาสตร์ ทางตรงหรือทางอ้อม อย่างที่สุดแล้วมีพื้นฐานจากพระธรรมกิจการ ดังนั้นถ้าคุณไม่เข้าความเชื่อจากพระธรรมปฐมกาลคุณไม่สามารถหวังที่มีความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าพรกคริสเตียนเป็นอย่างไร นั่นหมายความว่าถ้าเราต้องการจะรู้ความหมายที่แท้จริงของสิ่งใดๆเราจะต้องเข้าใจในจุดกำเนิด พื้นฐานของสิ่งนั้น พระธรรมปฐมกาลเป็นหนังสือเล่มเดียวที่มีเรื่องราวของจุดกำเนิดของพื้นฐานทุกชิ้นของชีวิตและจักรวาล จุดกำเนิดของชีวิต ของมนุษย์ ของการปกครอง ของการบริหาร ของวัฒนธรรม ของชนชาติ ของความตาย ของประชากรที่ได้รับการเลือก ของความบาป ของอาหารและเสื้อผ้า ของระบบสุริยจักรวาล.. รายการที่กล่าวถึงนี้ไม่มีจุดจบ ความหมายของสิ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับจุดกำเนิดของสิ่งเหล่านี้ ในทำนองเดียวกันความหมายและความปรารถนาของพระกิตติคุณคริสเตียนก็ขึ้นอยู่กับจุดเริ่มต้นของปัญหา โดยการสิ้นพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดและนี่เป็นคำตอบของปัญหาทั้งหมด คุณจะตอบคำถามต่อไปนี้อย่างไร? จินตนาการว่ามีมีคนบางคนเข้ามาหาคุณและกล่าวว่า “เฮ้ คริสเตียนคุณเชื่อในเรื่องการแต่งงานหรือไม่?“ คุณเชื่อหรือไม่ว่าการแต่งงานหมายถึงผู้ชายคนเดียวกับผู้หญิงคนเดียวในชีวิต? ทำไมมีสามี٦ คน หรือ ภรรยาหกคนไม่ได้? เกิดอะไรขึ้นกับลูกของคุณที่กลับบ้านแล้วถามว่า พ่อ ผมจะแต่งงานกับ บิลพรุ่งนี้? พ่อคงจะตอบว่า”ลูกไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้!”

Christianity and Genesis

เกิดอะไรขึ้นถ้าลูกตอบว่าได้บอกพ่อว่า มีโบสถ์ที่จะจัดแต่งงานให้กับเรา ถ้าคุณไม่เป็นคริสเตียนคุณจะพูดอะไร กับ ลูกของคุณ ? คุณมีรากฐานอะไร ความชอบธรรมอะไรสำหรับที่จะบอกว่าเขาไม่ควรมีรสนิยมเป็นแบบรักร่วมเพศ ถ้าเขาต้องการเช่นนั้น เมื่อมีความพยายามที่จะตัดสินว่าทำไมพวกเขาถึงทำหรือไม่มีความเชื่อเฉพาะ ปัจจุบันคนส่วนมากมักมีความเห็นมากกว่ามีเหตุผล บางครั้งเราสามารถที่จะเห็นได้จากรายการข่าวการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ผมจำได้ว่ามีรายการโทรทัศน์ที่ออสเตรเลียรายการหนึ่งที่สัมภาษณ์คนทั่วไปและถามเพื่อให้คนเหล่านั้นแสดงความเห็น การควบคุมแผนกหนึ่งของรัฐบาลที่อนุญาตให้คู่ครองที่เป็นรักร่วมเพศได้รับสิทธิหระโยชน์เช่นเดียวกับคู่ครองปกติทั่วไป หลากหลายความเห็นได้ออกมามากมายเช่น “ไม่ถูกต้อง” “เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ เป็นสิ่งที่ผิด เป็นสิ่งที่ไม่ปกติ แย่มากเลย มาควรเกิดขึ้น ไม่ดีเลย ไม่ควรยอมให้เกิด ทำไมพวกเขาไม่ทำอย่างนั้น คนทั่วไปสามารถทำอะไรที่เขาชอบ และคนอื่นๆก็แสดงอารมณ์ออกมา หลังจากที่ผมได้พูดเรื่องการสร้างโลกที่โรงเรียนสาธารณะแห่งหนึ่ง นักเรียนได้พูดกับผมว่า “ผมต้องการเขียนกฎของผมเองเกี่ยวกับชีวิตและปรารถนาว่าผมอยากทำอะไร “ ผมได้ตอบว่า “คุณสามารถทำได้ถ้าคุณอยากทำ แต่ในกรฯนั้น ทำไมผมจะไม่โยนคุณออกไป“ เขาตอบว่า “คุณไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ “ “ ทำไมทำไม่ได้ “ “เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง “ เขาตอบ ผมตอบเขาว่า “ทำไมไม่ถูก “ “เพราะว่ามันผิด “ “ ทำไมถึงผิด “ เขามองอย่างฉงนและพูดกับผมว่า “เพราะว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง “ นักเรียนเหล่านี้มีปัญหา พื้นฐานอะไรที่เขาตัดสินใจโดยการชี้ให้เห็นว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด? เขาได้เริ่มต้นการสนทนาโดยการแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการที่จะเขียนกฎขึ้นมาเองเขาได้รับการบอกว่าถ้าเขาต้องการเขียนกฎของเขาเอง เขาเห็นด้วยกับสิ่งนี้แน่นอนถ้าเป็นเช่นนั้นและผมได้โน้มน้าวต่อคนทั่วไปพอควรที่จะเห็นด้วยกับผม

Pop

โดยลักษณะเช่นที่เขาทำนั้นเป็นอันตราย แล้วทำไมเราควรที่จะไม่ขจัดเขาออกจากสังคมหรือ? และแล้วเขาก็เริ่มพูดกับผมอีกครั้งหนึ่ง “เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง----- เป็นสิ่งที่ผิด----- เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง“ ถ้าเขาไม่มีพื้นฐานในสิทธิอำนาจอย่างสมบูรณ์ในการตั้งกฎทั้งหลาย จึงเป็นสงครามที่แท้จริงของความเห็นของเขากับความเห็นของผม บางทีผู้ที่แข็งแรงที่สุดหรือฉลาดที่สุดคงจะมีชัยชนะ เขาจึงเข้าใจในเรื่องนี้ คนส่วนมากได้มีความเห็นว่าแบบการดำเนินชีวิตของพวกรักร่วมเพศนี้เป็นสิ่งผิด อย่างไรก็ตามถ้าสิ่งนี้เป็นเพียงความคิดเห็นแล้วอย่างแน่นอนมุมมองที่ว่าพวกรักร่วมเพศสามารถยอมรับเพียงสิ่งที่เป็นไปได้ในมุมมองผู้อื่นจุดอยู่ที่ว่าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นสาระของความเห็นของคนใดคนหนึ่ง สิ่งนี้เป็นสาระที่แท้จริงว่าผู้ที่ทำอะไรขึ้นมาคือผู้เป็นผู้ทรงสร้างผู้เป็นเจ้าของตัวเราให้พื้นฐานหลักการแก่เราในการครอบคลุมขอบเขตของชีวิตใช่หรือไม่? พระเจ้าได้พูดอะไรในพระวจนะของพระองค์ โลกได้เข้ามาสู่ประเด็นนี้หรือไม่? คริสเตียนมีมาตรฐานของความผิดและความถูกต้องเพราะว่าพวกคริสเตียนยอมรับว่ามีผู้สร้างคนหนึ่งและมีฐานะเป็นผู้สร้าง เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าของสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง พระองค์เป็นเจ้าของเราไม่เพียงแต่เพราะว่าพระองค์สร้างเราแต่เพราะว่าตามที่พระวจนะได้กล่าวไว้ว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด “(١ คร ٦:١٩-٢٠) ด้วยเหตุที่ว่าพระเจ้าได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างพรองค์มีสิทธิอำนาจโดยสมบูรณ์เพราะว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ต้องถูกสร้างมนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้ภาระทั้งหมดในท่านผู้หนึ่งผู้ซึ่งมีสิทธิอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือมนุษย์ทั้งหลาย สำหรับสิทธิอำนาจทั้งหลายของมนุษย์คือความถูกต้องในการตั้งกฎ สิ่งนี้เป็นของมนุษย์ที่ตั้งใจดีที่สุดต่อการเชื่อฟังเพราะว่าพระองค์เป็นผู้สร้างดังนั้นอะไรผิดอะไรถูกจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นสาระของความคิดเห็นของคนใดคนหนึ่งแต่ต้องเป็นไปตามหลักการที่ได้ก่อไว้ตามพระวจนะพระเจ้า ผู้ซึ่งมีสิทธิอำนาจเหนือเราดังเช่นผู้ออกแบบรถยนต์ได้จัดเตรียมคู้มือการซ่อมแซม การบำรุงรักษารถซึ่งเขาเป็นผู้ออกแบบและสร้างขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้นพระองค์ผู้ทรงสร้างมนุษย์ได้จัดเตรียมข้อปฏิบัติซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ด้วยความเต็มเปี่ยม ด้วยความให้อิสรเสรีภาพ และด้วยความรุ่งเรืองในชีวิต พระเจ้าได้จัดเตรียมข้อปฏิบัติที่ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงจิตวิญญาณหรือจำกัดความชื่นชมยินดีแต่เพราะว่าพระองค์ได้รักเราและรู้ว่าอะไรดีเยี่ยมสำหรับเรา บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินข้อเสนอแนะจากผู้ปกครองที่ว่าเด็กๆของพวกเขาต่อต้านจริยะธรรมคริสเตียนมีการถามว่าทำไมเด็กๆควรเชื่อฟังกฎเกณฑ์ของพ่อแม่เหตุผลหลักที่สำคัญอย่างหนึ่งคือผู้ปกครองของเด็กคริสเตียนไม่ได้สั่งสอนเด็กๆจากมุมมองโดยพื้นฐานว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ ถ้าเด็ดๆเห็นกฎเกณฑ์ไม่ดีไปกว่าความเห็นของพ่อแม่แล้วทำไมพวกเขาถึงได้เชื่อเล่า? สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้แตกต่างกันอย่างใหญ่หลวงเมื่อเด็กๆได้ถูกสอนตั้งแต่วัยเยาว์ว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างและสอนว่าพระองค์เป็นผู้กำหนดว่าอะไรถูกอะไรผิด ดังนั้นกฎเกณฑ์มาจากพระเจ้าที่พวกเขาต้องเชื่อฟัง มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสร้างโครงสร้างใดๆโดยปราศจากการวางรากฐานแต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลานคนพยายามที่จะทำและฝึกฝนเด็กๆของเขาอย่างไร้รากฐานแต่สิ่งนี้เป็นอะไรที่พ่อแม่ส่วนมากพยายามที่จะฝึกฝนเด็กๆของเขาผลลัพธ์ของความพยายามเหล่านี้ก็อยู่รอบๆตัวเรา-ลูกหลานรุ่นต่อๆมาก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นและก็ปฏิเสธพระเจ้าลืมความเป็นคริสเตียนที่สมบูรณ์ ณ ที่โบสถ์แห่งหนึ่งพ่อคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจอย่างมากมาหาข้าพเจ้าพูดว่า “พวกลูกๆของผมต่อต้านพวกคริสเตียน“ ผมจำได้ว่าพวกเขามาหาผมและพูดว่า “ทำไมพวกเราถึงเชื่อฟังระเบียบข้อบัวตับของพ่อ“ ผมไม่เคยคิดที่จะบอกว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ไม่ใช่เป็นกฎเกณฑ์ของพ่อผมเพียงแต่จะตระหนักเมื่อเช้านี้ผมควรจะได้ให้รากซานของพระเจ้าแก่พวกลูกๆอย่างไรในการที่พระองค์เป็นพระผู้สร้างและอธิบายแก่ลูกๆว่าพระองค์เป็นผู้ตั้งระเบียบกฎเกณฑ์ผมมีความรับผิดชอบต่อพระเจ้าในฐานะที่พระองค์เป็นผู้นำในครอบครัวของผมและเพื่อให้ลูกๆของผมเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นำพาครอบครัวของเราพวกเขาเพียงแต่มองดูกฎเกณฑ์หลักข้อเชื่อคริสเตียนที่ผมได้สอนพวกลูกๆผมได้ยอมตามต่อพวกเขาตามความเห็นของผมหรือความเห็นของคริสตจักร ขณะนี้พวกเขาไม่มีอะไรที่ได้กระทำกับคริสตจักรและพวกเขาทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้องในสายตาของเขาแต่ไม่มีพระเข้า สิ่งนี้เป็นรูปแบบของสังคมคริสเตียนในปัจจุบันและสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันกับประเด็นเรื่องรากฐานพ่อแม่ส่วนมากไม่ได้ตระหนักว่าลูกๆของเขาได้มีการวางรากฐานอย่างถูกต้องที่บ้านโดยการเน้นที่รากฐานของพระเจ้าในฐานะที่พระองค์เป็นพระผู้สร้างเมื่อเด็กๆไปโรงเรียนพวกเด็กๆก็ได้รับรากฐานอีกแบบหนึ่ง พระเจ้าไม่ใช่เป็นพระผู้สร้างและพวกเราก็สร้างโอกาสอย่างไม่ต้องสงสัยเลยที่เด็กๆส่วนมากไม่เชื่อฟัง ไม่มีใครเลยที่สร้างบ้านจากหลังคาลงมา เราจะต้องเริ่มจากพื้นฐานและสร้างตามลำดับ เป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่ผู้ปกครองส่วนมากได้สร้างโครงสร้างสำหรับเด็กรุ่นต่อๆไปที่ซึ่งไม่ได้มีการนำรากฐานที่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้สร้าง นักเรียนส่วนมากในโรงเรียนได้ถูกสอนให้ต่อต้านพื้นฐานทางพระคัมภีร์ แต่ได้สอนพื้นฐานทางวิวัฒนาการ แท้จริงพื้นฐานนี้ไม่ยอมให้โครงสร้างของคริสเตียนสามารถยืนอยู่ได้โครงสร้างของแบบที่แตกต่างกัน ในมนุษย์นิยมที่เป็นของมนุษย์ที่สร้างขึ้นบนรากฐานที่แปลกๆออกไป ดังเช่นที่ผู้ปกครองส่วนมากได้พูดเช่นที่เป็นมาอย่างนี้ก็ต่อเมื่อลูกๆของเขาเรียนอยู่ระดับมัธยม ปลายหรือระดับวิทยาลัยที่พวกลูกๆของเขาหันเหออกไปจากพวกคริสเตียน ส่วนมากที่ปฎิเสธคริสเตียนอย่างสิ้นเชิงถ้าพวกเด็กไม่ได้เตยมีการเน้นในการสร้างรากฐานที่ถูกต้องที่บ้าน จึงเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจไม่มากที่โครงสร้างคริสดตียนล้มลง เป็นที่น่าเสียใจจากประสบการณ์ของผมที่ได้พบว่าคริสเตียนที่ผมได้พบในโรงเรียน วิทยาลัย ทั้งหมดนี้มีการสอทฤษฏีวิวัฒนาการ—ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าเด็กๆหรือลูกๆของเขามีความปลอดภัยระดับหนึ่งเพราะว่าพวกเขาได้ส่งลูกๆของเขาไปโรงเรียนคริสเตียน โรงเรียนก็จะอ้างว่าครูได้สอนเรื่องการทรงสร้างแต่เมื่อมีการสืบสวนโดยละเอียดบ่อยครั้งมักจะพบว่าครูเหล่านั้นได้สอนว่าพระเจ้าใช่การวิวัฒนาการในการทรงสร้างของพระองค์ ปัญหาที่เหมือนกันนั้นของโครงสร้างโดยปราศขากรากฐานที่จะสะท้อนในอีกทางหนึ่ง คริสเตียนส่วนมากอาจต่อต้านการทำแท้ง การเบี่ยงเบนทางเพศ และ ปัญหาทางจริยธรรมอื่นๆในสังคม พวกเขายังไม่สามารถให้การชี้แจงอย่างเหมาะสมสำหรับการโต้แย้งของเขา คริสเตียนส่วนมากมีความคิดว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดแต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไม สิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ขาดไปสำหรับตำแหน่งของเราที่เห็นได้โดยคนอื่นๆโดยเพียงความเห็นและทำไมทำไมความเห็นของเราจึงเป็นจริงมากกว่าเหตุผลของคนบางคน ประเด็นเหล่านี้ทั้งหมดเกี่ยวพันกับความเข้าใจว่าพระคัมภีร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร พระคัมภีร์มาได้เป็นหนังสือแนะแนวเส้นทางชีวิต พระคัมภีร์เป็นพื้นฐานอย่างมากในที่ซึ่งความติดต่างๆของเราได้ถูกสร้างขึ้น ถ้าเราไม่เข้าใจในพระคัมภีร์เราก็จะไม่มีความเข้าใจพระเจ้าได้อย่างถูกต้องและความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับมนุษย์และนั่นก็เป็นการรู้ว่าโลกทรรศนะของคริสเตียนเป็นอย่างไร นั่นก็เป็นการที่ยอห์นได้กล่าวไว้ในพระธรรมยอห์น ٥:٤٧ ที่ว่าเราต้องเชื่อในการบันทึกของโมเสส ดังเช่นเพื่อที่จะเข้าใจว่าทำไมการมีชีวิตอย่างพวกรักร่วมเพศเป็นความผิดพลาดมนุษย์จำเป็นต้องมีความเข้าใจที่ว่าพื้นฐานสำหรับการแต่งงานมาจากพระธรรมปฐมกาล นี่เป็นที่ที่เราอ่านว่าพระเจ้าได้สถาปนาสถาบันการแต่งงานและประกาศให้เป็นผู้ชายคนเดียวแต่งงานกับผู้หญิงคนเดียวพระเจ้าทรงสร้างอาดัมและอิฟ ไม่ใช่อาดัมและบรูซ! ความสำคัญลำดับแรกของการแต่งงานดังได้กล่าวไว้ในพระธรรมมาลาคี ٢:١٥ คือว่าพระเจ้าสร้าง สอง เพื่อให้รวมเป็นหนึ่งเพื่อว่าพวกเขาทั้งสองจะได้กำเนิด พงศ์พันธ์ที่ดี(เช่น อย่างลูกหลานของพระเจ้า)เมื่อมนุษย์เข้าใจว่าบทบาทเฉพาะที่พระเจ้าได้สั่งไว้แก่ผู้ชายและผู้หญิง มนุษย์มีเหตุผลสำหรับการยืนยันความถูกต้องตามกฎหมายใดๆที่อ่อนแอและทำลายครอบครัว ดังนั้น รูปแบบชีวิตของพวกรักร่วมเพศคือต่อต้านพระเจ้าและก็เป็นสิ่งผิดไม่ใช่เพราะว่าเป็นความคิดเห็นของเราแต่เป็นเพราะว่าพระเจ้า ผู้มีสิทธิอำนาจที่สมบูรณ์(ดังที่กล่าวไว้ใน ลวน ١٨:٢٢ โรม ١:٢٤ ٢٦-٢٧ และ ปฐก ٢:٢٣-٢٤) เรามักจะบังคับความคิดเห็นของเรา และในคริสตจักรของคริสเตียน ที่ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะพระเจ้าและ

Marry Bob

พระเจ้ามีสิทธิอำนาจที่สมบูรณ์เหนือชีวิตของเรา เราจะต้องฟังว่าพระองค์ได้ตรัสในความสัมพันธ์ต่อหลักการของชีวิตโดยในทุกๆด้านของชีวิตโดยไม่คำนึงว่าความเห็นของใครก็ตามเป็นอะไร ความเห็นของมโดยพื้นฐานของมนุษย์ได้ทะลุผ่านคริสตจักรในหลายๆทาง พิจารณาประเด็นการทำแท้ง ผมได้เคยเข้าศึกษาพระคัมภีร์ในที่ซึ่งกลุ่มได้มีการถกเถียงกันเรื่องการทำแท้ง สมาชิกในกลุ่มส่วนมากแสดงความคิดเห็นของพากเขาในความคิดของพวกเขาแต่พวกเขาไม่มีการอ้างอิงจากพระคัมภีร์เลยพวกเขาได้พูดดังเช่น “เกิดอะไรถ้าลูกสาวของพวกเขาถูกข่มขืน” หรือ “ถ้าลูกน้อยกำลังจะถูกทำให้เสียสุขภาพไป “ หรือ “ ถ้าเด็กผู้ชายบางคนไม่สามารถที่จะมีหน้าตาที่ดีเมื่อเขาเป็นเด็กหนุ่ม“ และแล้วบางทีการทำแท้งอาจเป็นการที่ยอมรับกัน นี่เป็นทิศทางที่คริสตจักรของเรากำลังล้มเหลว ความคิดที่ว่าทุกคนสามารถมีการขาดแคลนความเห็นของพื้นฐานในหลักการทางพระคัมภีร์ความคิดได้คืบคลานไปสู่คริสตจักรของเราและเป็นหนึ่งในหลักเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงประสบกับปัญหามากมายที่เรียงกันเข้าสู่หลักข้อเชื่อและการตัดสินใจที่ว่าเราควรเชื่ออะไร สิ่งนี้ไม่ได้เป็นสาระของความคิดเห็นของมนุษย์เองในเรื่องที่เกี่ยวกับว่าอะไรกำลังเจริญเติบโตในครรภ์ของมารดา นี่เป็นสาระของที่ว่าพระเจ้าได้พูดในหลักการในพระวจนะของพระองค์ ที่ต้องครอบคลุมความคิดของเรา พระธรรม สดุดี ١٣٩ สดุดี ٥١ เยเรมีย์ ١ และบางบทอื่นๆของข้อพระคัมภีร์ทำให้ชัดเจนได้ว่า ณ ที่จุดของการยอมรับเราเป็นมนุษย์ ดังนั้น การทำแท้งในเหตุการณ์ทั้งหลายจะต้องถูกมองว่าเป็นการฆ่ามนุษย์ นี่เป็นทางเดียวของการมองที่สาระ นี่เป็นเวลาที่เราได้ตื่น เมื่อเราได้เข้าไปสู่ประเด็นเหล่านั้น เราจะต้องนำมุมมองของพระเจ้ามาไม่ใช่มุมมองของมนุษย์ ถ้าเราลดความกระวนกระวายให้น้อยลงเกี่ยวกับการทำสิ่งนี้ปัญหามากมายเรามีในคริสตจักรทุกวันนี้เห็นได้ชัดเจนว่าสามารถแก้ไขได้โดยง่าย การประชุมครั้งใหญ่ของกลุ่มโปแตสเต็นท์ที่ได้ถกปัญหากันว่าคริสตจักรควรจะให้ผู้หญิงเป็นศิษยาภิบาลได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะคอยดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น บางคนกระโดดขึ้นและกล่าวว่าเราควรสถาปนาให้ผู้หญิงเป็นศิษยาภิบาลเพราะว่าผู้หญิงก็ฉลาดเท่าๆกับผู้ชาย มีความคิดเห็นอีกอย่างหนึ่งที่ว่าเรามีหมอที่เป็นผู้หญิง และมีนักกฎหมายที่เป็นผู้หญิง ดังนั้นทำไมเราจะมีศิษยาภิบาลที่เป็นผู้หญิงไม่ได้? คนอื่นบางคนกล่าวว่าผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย ดังนั้นผู้หญิงก็เป็นศิษยาภิบาลได้ด้วยเหมือนกัน แต่ ณ ที่นี่หรือที่อื่นๆดังเช่นการประชุมลักษณะแบบนี้มีคนจำนวนเท่าไรที่จะกล่าวว่า “พระเจ้าสร้างผู้ชายและพระเจ้าสร้างผู้หญิง พระองค์ได้ให้บทบาทพิเศษแก่ผู้ชายและผู้หญิงในโลกนี้ ,มีทางเดียวเท่านั้นที่เราเคยพยายามที่เข้าสู่ข้อสรุปที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นนี้คือเริ่มจากว่าพระเจ้าได้พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของผู้ชายและผู้หญิง“ ความยากลำบากคือทุกๆคนต้องการที่จะมีความเห็นของตัวเองทั้งผู้ชายและผู้หญิงโดยปราศจากความเห็นของพระเจ้า ณ เช้าวันหนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งก็ได้มีเสียงที่ค่อนข้างโกรธจัดมากที่ผมได้พูดเกี่ยวกับบทบาทของผู้ชายและผู้หญิงเธอกล่าวว่าเธอจะไม่ยอมอยู่ใต้สามีของเธอจนกว่าสามีของเธอจะสมบูรณ์เหมือนอย่างพระคริสต์แล้วผมก็ได้ถามเธอมีข้อพระคัมภีร์ข้อใดที่ได้กล่าวไว้เช่นนั้นเธอกล่าวอย่างชัดเจนว่าพระคัมภีร์ได้สอนถึงสิ่งนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องยอมตามสามีของเธอผมได้ทวนคำถามซ้ำต่อเธอ ความดื้อเธอก็ได้แสดงข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวเช่นนั้นหรือได้ให้หลักการเช่นนั้นโดยที่ซึ่งคนใดคนหนึ่งที่จะเข้าไปสู่ข้อสรุป เธอไม่สามารถแสดงต่อผมได้แต่เธอยังคงดื้อรั้นว่าถ้าสามีของเธอไม่ได้สมบูรณ์เหมือนอย่างพระคริสต์เธอจะไม่ยอมต่อสามีของเธอ สิ่งนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอต้องการใช้ความเห็นส่วนตัวของเธอโดยมาคำนึงว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างไรเธอไม่ต้องการที่จะยอมเชื่อฟังสามีของเธอและเธอไม่ต้องการที่จะยอมเชื่อฟังข้อพระคัมภีร์ ในอีกสถานที่หนึ่งที่ซึ่งเรามักจะได้ยินความเห็นของคนอื่นๆแสดงออกมาในหลายประเภทหลายทางคือที่การประชุมของสมาชิกในคริสตจักร ผมได้เคยอยู่ในการประชุมที่ซึ่งกำลังเลือกตั้งมัคนายก คนบางคนก็ได้แนะนำคนที่ควรจะได้รับเลือกเป็นมัคนายกเพราะว่าเขาเป็นคนดี เมื่อคนอื่นๆบางคนได้เสนอแนะให้เลือกตามคุณสมบัติที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับมัคนายก บางคนก็คัดค้าน กล่าวว่าคุณไม่สามรถจะยกเลิกกฎที่จะให้ใครเป็นมัคคานายกเพียงเพราะว่าเขาไม่ได้มีมาตรฐานตามคุณสมบัติที่ให้ไว้ในข้อพระคัมภีร์ในอีกด้านหนึ่งความเห็นของคนทั่วไปตามที่บางคนได้ทำนั้นก็อยู่เหนือข้อพระคัมภีร์ มีหลายทางที่เราได้เห็นปรัชญาทั้งหมดที่ได้ผ่านทะลุออกมาจากสังคมคริสเตียนหลักการของโรงเรียนคริสเตียนได้บอกเราว่าเขาได้มีจำนวนของผู้ปกครองมากมายที่กำลังคัดต้านต่อวินัยที่เข้มงวดของเขาที่มีรากฐานตามหลักการทางพระคัมภีร์การคัดค้านหลักการของเขาได้นำมาจากการเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่นๆหรือบางครั้งก็กล่าวว่าลูกของเขาไม่ได้เลวเท่ากับเด็กคนอื่นๆรอยๆที่เป็นเพื่อนบ้านกันแทนที่จะเปรียบเทียบมาตรฐานตามพระวจนะของพระเจ้าพวกเขาได้เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆเช่นพ่อแม่บางคนยืนกรายว่าเพราะว่ามีนักเรียนคนอื่นๆในโรงเรียนผู้ที่ซึ่งไม่ถูกจับเมื่อมีการกระทำผิดและเด็กคนนั้นก็ไม่ควรได้รับการลงโทษ หลักการนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าถ้าสิ่งนี้ได้นำมาใช้ในสังคมจะมีปัญหาอย่างใหญ่หลวงเช่น สิ่งนี้หมายถึงว่าตำรวจไม่ควรลงโทษผู้ขับรถที่ถูกตรวจจับว่ามีแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเพียงเพราะว่าคนอื่นๆก็มีแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเช่นกันและไม่ถูกจับหรือ? พ่อแม่คงจะเสียใจเพราะว่ามาตรฐานได้ประยุกต์อย่างมีหลักการ ---มาตรฐานมีรากฐานตามสิทธิอำนาจของพระวจนะพระเจ้า อาจารย์เปาโลกล่าวว่า” จงอุตส่าห์สำแดงว่าได้ทรงพิสูจน์แล้วเป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง“(٢ทธ٢:١٥) เราจะเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว หรือ เราจะรอ? อะไรเป็นสิ่งที่เราได้เห็นในสังคมของเราที่เป็นการแสดงออกถึงความน่าสมเพทที่มากขึ้น มากขึ้นของความโกรธของการปฎิเสธของพระเจ้าและความสมบูรณ์ของพระองค์และในการเติบโตของความเชื่อเพียงเพราะความเห็นสาระของมนุษย์ เหตุผลของความขัดแย้งส่วนมากที่ผ่านเข้ามาในคริสตจักรปัจจุบันนี้คือการที่คนทั่วไปต่อสู้กับความเห็นของตนเองนี่ไม่ได้เป็นสาระของความเห็นของคุณหรือผม แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ากล่าวไว้ในสาระเหล่านั้น รากฐานของความคิดของเราเป็นหลักการจากพระวจนะของพระเจ้า พวกเขามักจะตัดสินการกระทำของเราเพื่อที่จะเข้าใจในสิ่งนี้ เราจะต้องชื่นชมว่าพระธรรมปฐมกาล)บนรากฐานต่อปรัชญาชีวิตคริสเตียนทั้งหมด ความยากลำบากอย่างมากในคริสตจักรของเราคือว่าคนส่วนมากไม่ได้เชื่อในพระธรรมปฐมกาล ในทำนองเดียวกันพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามีเล่มอื่นใดที่เป็นจริง พวกเขากระทำกับพระคัมภีร์ในแบบที่เป็นหนังสือที่น่าสนใจบรรจุความจริงทางศาสนาหลายรูปแบบ มุมมองเช่นนี้เป็นการทำลายคริสตจักรและสังคมของเราและเป็นเวลาที่ผู้นำศาสนาได้ตื่นขึ้นต่อความจริงไม่ใช่เป็นการนำพระธรรมปฐมกาลบทที่ ١ จนถึงบทที่ ١١ โดยตัวอักษรเพื่อที่จะละเมิดต่อข้อพระคัมภีร์ที่เหลือ โดยศาสตราจารย์เจมส์บาร์ เป็นนักวิชาการด้านภาษาฮิบรูและเป็นศาสตราจารย์ในด้านการแปลพระคัมภีร์ของมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด กล่าวไว้ในจดหมายส่วนตัวเมื่อวันที่ ٢٣ เมษายน ١٩٨٤ “ตราบเท่าที่ผมรู้ไม่มีศาสตราจารย์ด้านภาษาฮิบรูหรือพันธสัญญาเดิมในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกผู้ซึ่งไม่เชื่อว่าผู้เขียนพระธรรมปฐมกาลบทที่ ١ ถึงบทที่ ١١ ตั้งใจที่ยอมต่อผู้อ่านเหล่านั้นในความคิดที่ว่า ١

การทรงเกิดขึ้นเป็นลำดับหกวันซึ่งเป็นเหมือนกับวันของ ٢٤ ชั่วโมงที่เรามีประสบการณ์ ٢

เรื่องราวที่มีอยู่ในพระธรรมปฐมกาลการลำดับพงศ์พันธ์เกิดขึ้นโดยการลำดับทางวรรณกรรมอย่างง่ายๆจากจุดเริ่มต้นของโลกไปจนถึงเรื่องราวของพระคัมภีร์ต่อๆมา

٣ น้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์สามารถเข้าใจได้ทั่วทั้งโลกและการสูญพันธ์ของชีวิตมนุษย์และสัตว์ยกเว้นสิ่งที่อยู่ในเรือ “ โปรดจดไว้ว่าถ้าไม่มีโรงเรียนชั้นนำเหล่านี้ไม่ได้เชื่อในพระคัมภีร์หรือพวกคริสเตียนทางใดทางหนึ่งดังนั้นพวกเขาไม่สนใจใน “มวยปล้ำ “บางครั้งข้อพระคัมภีร์ได้พยายามทำให้ศาสนาของเขาเข้ากันได้กับทฤษฏีวิวัฒนาการพวกเขาเพียงเพื่อแสดงความเห็นต่อความหมายง่ายๆของข้อความถ้าคุณปรารถนาจะไม่มีความเชื่อแต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างเรื่องออกมาว่าเป็นการพูดถึงสิ่งอื่นใดนอกเหนือที่ได้พูดว่าอะไรเราสามารถเห็นได้ว่าใครก็ตามที่กล่าวว่าการสอนที่ชัดเจนของพระธรรมปฐมกาลไม่ได้เป็นอะไรที่มีความหมายที่แท้จริงและไม่ได้เป็นเช่นนั้นบนรากฐานของวรรณกรรมหรือการใช้ภาษาของผู้รู้แต่เป็นเพราะว่าการจำนนบางส่วนของความกดดันของความคิดอย่างวิวัฒนาการ

Doctrine Foundations

บทที่ ٦ พระธรรมปฐมกาลมีความหมายที่สำคัญ

ให้เรามาดูกันในรายละเอียดของหลักข้อเชื่อคริสเตียนที่สำคัญบางข้อเพื่อที่จะแสดงว่าทำไมการเน้นที่วรรณกรรมปฐมกาลจะต้องยอมรับ สมมติว่าเรากำลังมีคำถามเกี่ยวเนื่องกับหลักข้อเชื่อของความเชื่อคริสเตียน คุณคิดอย่างระมัดระวังว่าคุณควรตอบคำถามต่อไปนี้ในรายละเอียดอย่างไร? ทำไม

เราถึงเชื่อในเรื่องการแต่งงาน?

ทำไมเราถึงส่งเสริมให้มีการสวมใส่เสื้อผ้า?

ทำไมกฎเกณฑ์ทั้งหลายจึงถูกหรือผิด?

ทำไมเราจึงเป็นคนบาป—มนุษย์ได้ทำอะไร?

ทำไมถึงมีความตายและการทนทุกข์ในโลกนี้?

ทำไมถึงได้มีสวรรค์ใหม่และโลกใหม่?

เราจะต้องระมัดระวังในการตอบแต่ละคำถามข้างต้นโดยที่เป็นความสำคัญที่มีเหตุผลว่าเราเชื่ออะไร ในความจริงพระเจ้าได้คาดหวังลูกหลานของพระองค์อยู่พร้อมที่จะให้คำตอบเพื่อให้เหตุผลว่าพวกเขาเชื่ออะไร ในพระธรรม ١ ปต ٣ :١٥ กล่าวว่า “แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอเพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่าท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ ” คริสเตียน ผู้ที่แยกขากผู้ที่ไม่มีพระเจ้า นั้นไม่เป็นผู้ที่ตาบอดในความเชื่อแต่เป็นผู้ที่มีวัตถุประสงค์ คือองค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ได้เปิดเผยพระองค์เองต่อผู้คนเหล่านั้นที่มาหาพระองค์โดยความเชื่อและมีความเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ พระธรรมยอห์น ١٤:٢١ กล่าวว่า “ผู้ใดที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัตินั้น ผู้นั้นแหละเป็นผู้ที่รักเราและผู้ที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา”ถ้าเหตุผลที่ว่าความเชื่อของคริสเตียนเป็นจริงและไม่หวนกลับเป็นอย่างอื่นตำพยานของเขาก็จะอ่อนแอลงไปและเป็นที่น่าหัวเราะขบขันคริสเตียนก็จะต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะปกป้องความเชื่ออย่างชาญฉลาดโดยพระกิตติคุณโดยการจัดระบบของตนเองด้วยความรู้และด้วยความเข้าใจของรูปฟอร์มของงานที่ไม่น่าชื่อในปัจจุบันนี้ คริสเตียนส่วนมากไม่รู้ถึงวิธีที่จะสื่อสารกับความจริงในการที่พระคำของพระเจ้าและธรรมบัญญัคิเป็นความจริง ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นการก่อให้เกิดคริสเตียนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ผู้ซึ่งเชื่อในสิ่งต่างๆแต่ไม่แน่ใจว่าทำไมการเป็นพยานส่วนตัวสามารถทำให้สูญเสียการเกิดผลถ้าคริสเตียนล้มเหลวในการแบ่งปันเหตุผลที่มีสติปัญญาในความเชื่อของเขาเอง ดังนั้นจะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ ลดสิ่งที่ทำให้ขบขันและความไม่จริงใจต่อพระนามของพระเยซูคริสต์ ตัวอย่างที่ดีว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อเราได้ให้เหตุผลสำหรับว่าความเชื่อของเราสามารถเห็นได้จากจดหมายของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อริโซนา ดังต่อไปนี้ “เมื่อตัวฉันยังเด็กอยู่เราทั้งหลายได้เชื่อว่าผู้ชายมีซี่โครงน้อยกว่าผู้หญิงอยู่หนึ่งซี่เพราะว่าพระเจ้าได้สร้างผู้หญิงคืออีฟจากซี่โครงหนึ่งซี่ของอาดัม เมื่อเรื่องราวนี้ได้เขียนขึ้นประมาณห้าถึงสิบพันปีมาแล้วหลังจากที่โนอาห์และน้ำท่วมโลก ในช่วงนั้นมีผู้ที่อ่านได้น้อยกว่าที่เขียนได้หรือ?..คุณได้กล่าวว่าคุณเป็นครูของลัทธิการทรงสร้างในชั้นของโรงเรียน คุณควรจะตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างไร? ถ้าโนอาห์ได้นำสัตว์แต่ละชนิดตามคู่ของมันขึ้นไปบนเรือเขาจะได้

Chrisitan Doctrine and Evolution

หมีที่ขั้วโลก กระทิง และ จิงโจ้มาจากไหน? คุณอาจจะตอบว่าสัตว์เหล่านี้อาศัยอยู่ในเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกได้กลับเข้ามา คำถามต่อไปอาจจะเป็น ทำไมถึงมีสีผิวของมนุษย์หลากหลายที่วิวัฒนาการมาจากครอบครัวที่มีสีขาว(สีน้ำตาล) ใน٥٠٠٠ หรือ ٥٠٠٠٠ ปี... เมื่อผมได้โตขึ้นในครอบครัวที่เคร่งศาสนามาก ผมได้ถูกสอนว่าอย่ามีคำถามในพระคัมภีร์และในคำสอนของศาสนา ผมก็ไม่ได้รับคำตอบจากนั้นมาและ ٧٠ ปีต่อมาผมได้ยังคงเขียนคำอธิบายอย่างมีเหตุผล” ผมได้พูดโดยส่วนตัวกับผู้ที่เ

ขียนจดหมายนี้ตามที่ผมได้พูด เพราะว่านั่นเป็นที่ชัดเจนว่าเขาได้ถูกบอกว่าให้ยอมรับพระคัมภีร์โดยการไม่แสดงความเชื่อและและได้ให้คำตอบที่เป็นประโยชน์ใหม่ๆ การละเว้นเช่นนี้ทำให้เขาปฎิเสธการประกาศข่าวประเสริฐ ของคริสเตียนเป็นที่น่าเสียใจอย่างไร? และการตอบของปัญหาประเภทเหล่านี้ได้ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นให้เรา มีเหตุผลสำหรับความเชื่อของเรา เหมือนอย่างที่เราได้ถกเถียงปัญหาที่ผ่านมา

Marriage

การแต่งงาน

เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับการหย่าร้างในพระธรรมมัทธิวบทที่ ١٩ พระองค์ได้อ้างถึงจุดเริ่มต้นและนั้นก็เป็นพื้นฐานของการแต่งงาน พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่าพระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิมได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า เพราะเหตุนั้นบุรุษจึงต้องละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยาและเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน?” จากที่ไหนที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงยกมาตรัส (ความจริงคือว่าพระองค์ได้บกมาจากพระธรรมปฐมการบทที่ ١ และ ٢ ในประโยคที่เหมือนกัน ใครก็ตามที่กล่าวอย่างผิดๆจากพระธรรมปฐมกาล บทที่ ١ และ ٢ เป็นเรื่องการทรงสร้างที่แตกต่างกันควรจะอ้างอิงจากบทต่อท้ายที่ ١)พระเยซูได้ตรัสว่า “พวกท่านไม่เข้าใจหรือว่านี่เป็นพื้นฐานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์สำหรับการแต่งงาน?” มีเพียงพื้นฐานเดียวเท่านั้นที่อยู่ในข้อพระคัมภีร์ คุณอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นพันธ์สัญญาสำหรับคุณ แต่คุณไม่สามารถบอกลูกคุณว่าเขาไม่สามารถแต่งงานกับผู้หญิงหลายคนและคุณไม่มีสิทธิที่จะคิดเช่นนั้นเลย เอาละถ้าเรากลับไปที่พระธรรมปฐมกาลเราได้อ่านถึงพระเจ้านำเอาผงคลีและได้สร้างผู้ชายฝ่ายทางด้านผู้ชายพระเจ้าได้สร้างผู้หญิงคำพูดที่บันทึกเกี่ยวกับอาดัมคือ”นี่เป็นกระดูกและเป็นกระดูกของฉัน และเนื้อเป็นเนื้อของฉัน “พวกเขาเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงคนหนึ่งแต่งงานกันพวกเขาจะเป็นเนื้อเดียวกัน นี่เป็นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ดังเช่นแบ่งออกซึ่งกันและกันราวกับว่าเราไม่มีพ่อแม่เรารู้ว่าสิ่งนี้จะต้องมีความสัมพันธ์สองเพศ ทำไม? เพราว่าเมื่อเรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงสร้างอาดัมและอิฟ(เป็นผู้ชายและเป็นผู้หญิง—ไม่ใช่ผู้ชายกับผู้ชาย) นี่เป็นเพียงพื้นฐานสำหรับการแต่งงานและนั่นคือว่าทำไมเรารู้ว่าการรักร่วมเพศเป็นพฤติกรรมและความปรารถนาที่เป็นความชั่วร้าย ความเบี่ยงเบนไป และผิดเพี้ยนไปทั้งหมดนี่เป็นเวลาที่คริสตจักรได้ยืนขึ้นจากพื้นต่อต้านกับการเพิ่มขึ้นของการยอมรับในรักร่วมเพศเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่เป็นธรรมชาติหรือปกติหรือหรือเป็นทางเลือกที่สามารถยอมรับได้ อัครทูตเปาโลคงไม่ได้มีการเขียนเกี่ยวกับรักร่วมเพศในวิถีทางที่ว่าพวกเขาได้ทำในโรม ถ้าอาจารย์เปาโลไม่ได้มีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์(โปรดบันทึกว่าแม้ว่าในฐานะคริสเตียนเราได้ตำหนิความบาปในการเป็นรักร่วมเพศเราได้มีการเริ่มต้นแนะนำต่อพวกรักร่วมเพศและค้นหาการปลดปล่อยจากการเป็นรักร่วมเพศ อะไรเป็นส่วนที่เหลือของการสอนเรื่องการแต่งงาน? มีแง่มุมอีกอย่างหนึ่งที่จะต้องกระทำกับเรื่องครอบครัว นี่เป็นเหตุผลที่ครอบครัวคริสเตียนส่วนมากแยกเป็นส่วนๆและลูกหลานก็หลงผิดไปในกลุ่มส่วนใหญ่ของครอบครัวคริสเตียนปัจจุบันเป็นปกติที่แม่ผู้ที่สอนเด็กๆเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่ซึ่งพ่อไม่ได้ยึดไว้ในส่วนที่พระเข้าได้ให้เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบ เมื่อใครได้มองไปที่บทบาทที่พระคัมภีร์ได้ให้ไว้กับคุณพ่อและคุณแม่ คุณพ่อผู้ซึ่งถูกกำหนดให้รับผิดชอบในการตัดเตรียมสำหรับเด็กๆของเขาและจัดเตรียมจิตวิญญาณของครอบครัวและความต้องการฝ่ายร่างกาย(อิสยาห์ ٣٨:١٩; สดุดี ١:٨;เอเฟซัส ٦:٤) เหตุผลหนึ่งของบทบาทนี้ได้หวนกลับไปที่บุตรทั้งหลายไม่ไปคริสตจักร คริสเตียนผู้หญิงผู้ซึ่งไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างงเหมาะสมโดยพ่อของเขาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน ความสัมพันธ์ที่มักไม่ค่อยเชื่อฟังเรื่องการนัดแนะกันหรือการแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ผู้หญิงสาวคนหนึ่งได้ชื่นชอบผมมากและพูดกับผมว่าเธอต้องการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เธอได้อธิบายว่าเมื่อเธอได้นัดแนะกับผู้ชายเช่นนี้เธอได้เปรียบเทียบเขากับพ่อของเธอและได้เห็นว่าไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย แต่พ่อของเธอได้เป็นคริสเตียนเพราะว่าพ่อของเธอไม่ได้เป็นผู้นำจิตวิญญาณในบ้านเธอก็ไม่ได้พบสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชายที่เธอนัดแนะออกไปนอกบ้านกับพ่อของเธอเธอพบว่าไม่มีเหตุผลเลยที่สามีของเธอต้องเป็นคริสเตียนและแล้วเมื่อเธอแต่งงานและมีบุตรก็ไดมีปัญหาอย่างรุนแรงในชีวิตการแต่งงานในส่วนที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกๆของเธอ เหตุผลหลักอย่างหนึ่งสำหรับหลายปัญหาของครอบครัวคริสเตียนในปัจจุบันคือว่าพ่อไม่ได้นำความรับผิดชอบที่พระเจ้าได้สั่งไว้ในการเป็นหลักในครอบครัว ในฐานะที่เป็นสามีและเป็นพ่อเขาได้เป็นผู้นำของภรรยาและลูกๆของเขา อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเจ้านายและผู้ชายกดขี่ต่อผู้หญิงผู้หญิงที่มีอิสรภาพเสรีมักคิดว่าพระคัมภีร์ได้สอนว่าการแต่งงานเป็นความสัมพันธ์ที่เลวร้าย และก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยที่คริสเตียนส่วนมากก็มีแนวคิดเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ก็ไม่ได้กล่าวเรื่องลักษณะนี้ทั้งหมด ใครก็ตามที่ใช้ความสมบูรณ์ในบทบาททางพระคัมภีร์เพื่อที่จะตัดสินอำนาจของคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งจะเป็นการที่พลาดไปจากพระวจนะพระเจ้าทั้งหมด(เอเฟซัส ٥:٢٢- ٣٣ ยอห์น ١٣:٥) พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าเราควรยอมฟังซึ่งกันและกัน ด้วยความเคารพในพระคริสต์(เอเฟซัส ٥:٢١) ถ้าคุณไม่ปรับปรุงตัวในบทบาทที่พระเจ้าได้กล่าวไว้ในข้อพระคัมภีร์คุณจะพบว่าครอบครัวของคุณจะไม่มีการกระทำดังที่ตั้งใจและปัญหาก็จะเกิดขึ้นตามมา พระคัมภีร์ได้กล่าวเป็นร้อยครั้งว่าสามีจงรักภรรยาเหมือนอย่างที่พระคริสต์รักคริสตจักร(เอเฟซัส ٥:٢٥)ในหลายเหตุการณ์ถ้าสามีรักภรรยาในทางนี้จะเป็นทางที่ง่ายที่ผู้หญิงทั้งหลายจะยอมตามสามี

ทำไมต้องมีเสื้อ?

พิจารณาว่าทำไมเราจึงสวมใส่เสื้อผ้า สิ่งนี้เป็นการทำให้อบอุ่นใช่หรือไม่? แล้วเกิดอะไรขึ้นถ้าเราอยู่เขตร้อน? เป็นการดูแล้วดีใช่หรือไม่? ถ้าเรามีเพียงเหตุผลว่าทำไมเราจึงสวมใส่เสื้อผ้า? ทำไมเราไม่ถอดออก เมื่อไรที่เราต้องการหรือที่ไหนที่เราต้องการ? เป็นอย ่างไรถ้าเราไม่ใส่เสื้อผ้าในที่สารธารณะ? คำตอบที่สุดยอดที่สุดว่าเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ยืนกรานว่ามนุษย์ต้องสวมใส่เสื้อผ้าคือศีลธรรม ถ้าเรามีเหตุผลทางศีลธรรมมันจะต้องมีพื้นฐานที่ใดที่หนึ่งดังนั้นจึงมีมาตรฐานเชื่อมโยงกับเหตุผลทางศีลธรรม และแล้วอะไรคือมาตรฐาน? คุณจะให้เหตุผลอย่างไรเกี่ยวกับเสื้อผ้า? ในเอกสารของเธอ “ กฎเกณฑ์เสื้อผ้าของชาวกรีก มีความศักดิ์สิทธิ์แต่ไม่ได้นับถือพระเจ้า” แฮเรียน มิลล์ได้กล่าวว่า “ประมาณ١٠٠ปีมาแล้วพวกเดนนีสเชื่อตามพื้นฐานพระคัมภีร์และเรื่องเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เพราะความทันสมัย มีทฤษฎีมากมายที่ได้ผลักดันโดยนักมนุษย์วิทยาที่เกี่ยวกับจุดกำเนิดและหน้าที่ของเสื้อผ้า” ทำไมเราจึงสวมใส่เสื้อผ้า? เป็นพื้นฐานทางศีลธรรมถ้าเราหันกลับไปสู่ข้อพระคัมภีร์ เราได้อ่านจากพระธรรมปฐมกาลว่าพระเจ้าได้สร้างอาดัมและเอวาเขาทั้งสองไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่แต่เพราะความบาปได้เข้ามาในโลกและความบาปได้บิดพลิ้วทุกสิ่งทุกอย่างความบาป

Clothing

ได้บิดพลิ้วความเปลือยเปล่า ทันใดนั้นอาดัมและเอวารู้ว่าเขาทั้งสองเปลือยกายอยู่และพวกเขาก็ได้พยายามเอาใบไม้มาปิดคลุมร่างกายพระเจ้าได้เข้ามาในที่สวนเอเดนที่ทั้งสองนั้นหลบซ่อนอยู่ และได้ทำการจัดหาเครื่องนุ่งห่มโดยการฆ่าสัตว์ที่ไร้เดียงสา นี่เป็นการบูชาด้วยเลือดเป็นครั้งแรกและเป็นการปกคลุมความบาปของพวกมนุษย์ ผู้ชายทั้งหลายมีเพศสัมพันธ์อย่างง่ายๆนี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมที่ผู้หญิงที่นุ่งน้อยห่มน้อยในโทรทัศน์และโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์พ่อแม่จำเป็นต้องอธิบายให้แก่ลูกสาวของเขาผู้ชายมีความต้องการทางเพศโดยง่ายจากร่างกายของผู้หญิงพวกเขาจำเป็นต้องรู้เพราะลูกสาวส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าผู้ชายมีอารมณ์ทางเพศอย่างไร ณ.ที่คริสตจักรแห่งหนึ่งเมื่อผมได้บรรยายเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาหาผมและบอกผมว่าเธอเป็นคริสเตียนได้ ٦ เดือน เธอได้ออกนัดไปเที่ยวกัยคริสเตียนหนุ่มคนหนึ่งและเธอก็ประหลาดใจว่าทำไมชายหนุ่มจึงพูดกับเธอว่าอย่าแต่งตัววาบหวิวทุกครั้งที่เธอถามเขาว่าทำไม ชายหนุ่มดูจะอายๆ หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอได้แต่งตัวโป๊และทำให้ผู้ชายมองแล้วสะดุดและก็ทำให้มีความคิดในการล่วงประเวณีทางใจ พ่อๆทั้งหลายจะต้องอธิบายให้แก่ลูกสาวเกี่ยวกับว่าผู้ชายคิดอย่างไรกับร่างกายผู้หญิง พ่อทั้งหลายควรจะอธิบายให้กับลูกผู้ชายของเจาสิ่งนี้จะกล่าวหาผู้ชายเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้และในสิ่งที่เขาได้มองเห็นไม่ได้ โยบมีคำตอบสำหรับคำถามทีเกี่ยวกับปัญหาต่อไปนี้ ขากพระธรรมโยบ ٣١:١ “ข้าได้ทำพันธ์สัญญากับนัยน์ตาของข้า แ ล้วข้าจะมองหญิงพรหมจารีได้อย่างไร “ ในฐานะที่เป็นคริสเตียนผู้ชายควรจะมีพันธ์สัญญาที่ดวงตาและต้องคิดถึงสิ่งนี้เมื่อเกิดตัณหาในความคิดได้เข้ามามีr;ผลต่อการมองเห็นและการได้ยิน พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่าถ้าผู้ชายเกิดตัณหากับผู้หญิงทางใจ ผู้นั้นก็กระทำบาปในใจของเขาแล้ว จากพระธรรมมัทธิว ٥:٢٨ “ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว “ ความบาปได้ทำให้ความเปลือยผิดเพี้ยนไป แม้แต่ประสบการณ์อันสมบูรณ์ระหว่างอาดัมและเอวาก่อนที่ความบาปได้เริ่มเกิดขึ้น หลังจากที่มนุษย์ได้ล้มลงในบาปพวกเขาก็ได้หลบซ่อนไปขากพระเจ้าและเขาทั้งหลายก็มีความอายเมื่อเขาเปลือยกายด้วยกัน ผู้หญิงคริสเตียนส่วนมากสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อเป็นการเด่นในทางเพศ และสายตาที่จ้องมองตามทุกๆการเคลื่อนไหวทำให้ผู้ชายได้กระทำความบาปในใจ การทำบาปอย่างนี้เขาทั้งหลายจะต้องตอบคำถาม ในบ้านของคริสเตียนทั้งหลายพ่อแม่ได้เชื่อในการสวมใส่เทื้อผ้า พ่อแม่ได้พูดกับหนุ่มสาวของเจาว่า “ หนูไม่ควรใส่เสื้อผ้าเช่นนั้น “ วัยรุ่นตอบว่า ”ทำไมล่ะ?” “เพราะว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่คริสเตียนควรทำ “ พ่อแม่ตอบ “ทำไมถึงใส่ไม่ได้ “ วัยรุ่นถามอีก “เพราะว่าคริสเตียนไม่สวมใส่เสื้อผ้าเช่นนั้น “ พ่อแม่ย้ำ “ ทำไมถึงใส่ไม่ได้?“ วัยรุ่นจอบ แล้วพ่อแม่ก็มักได้ยินลูกสาวพูดว่า “พ่อและแม่นี่เป็นคนล้าสมัย” พวกเด็กวัยรุ่นพูดว่าพ่อแม่ของพวกเขามีความคิดเห็นเดียวแต่พวกเขามีอีกความคิดเห็นหนึ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้เป็นสาระทั้งความเห็นของพ่อและแม่และความเห็นของวันรุ่น สำกรับพ่อแม่ก็เพื่อที่จะรักษาหน้าและก็เพื่อทำให้ถูกต้องอะไรทำให้เกิดความแตกต่างเมื่อพ่อแม่ได้ใช้พระธรรมปฐมกาลเป็นพื้นฐานเพื่อที่จะอธิบายให้กับเด็กๆของเขาว่าทำไมเด็กๆต้องทำอย่างนั้นหรืออย่างนี้โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับเสื้อผ้า ถ้าเขาได้อบรมสั่งสอนเด็กๆว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง พระองค์ทรงตั้งกฎเกณฑ์และพระธรรมปฐมกาลเป็นพื้นฐานของหลักข้อเชื่อทั้งหลาย และเป็นสิ่งที่

นิรันดร์มากกว่าการพูดของพ่อแม่ที่ว่า”นี่เป็นสิ่งที่ลูกจะต้องทำ “ และวางมาตรฐานนั้นให้กับลูกหลานของเขา อย่างไรก็ตามเราได้อ่านในเอเฟซัส ٦:١ “บุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของเขาในพระเจ้า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูก” บุตรทั้งหลายต้องเชื่อฟังบิดามารดาและไม่ได้เชื่อในความเห็น มีพื้นฐานทางศีลธรรมสำหรับการสวมใส่เสื้อผ้าเพราะว่าความบาปได้กระทำต่อการเปลือยปล่าว เราต้องเข้าใจว่าผู้ชายได้ถูกสร้างมาอย่างไร ผู้ชายได้ถูกออกแบบมาให้มีเพศสัมพันธ์และตอบสนองต่อผู้หญิงคนเดียวคือภรรยาของตนเอง สิ่งนี่เป็นสิ่งที่เป็นการสร้างที่ยอดเยี่ยมสำหรับการแต่งงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตามความบาปได้บิดเบือนสิ่งนี้และเป็นความผิดสำหรับผู้ชายที่ทำการล่วงประเวณีต่อผู้หญิงที่ไม่ใช่เป็นภรรยาของตนเอง ดังรั้นเสื้อผ้าก็ควรเป็นเรื่องที่ล่อลวงอย่างมากของผู้ชายที่มองเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วสะดุด แต่ผู้ชายไม่ได้ลดความรู้สึกผิดถ้าเขาเอาชนะการมองข้ามนี้ไป มนุษย์ไม่ควรง่ายที่จะยอมรับแฟชั่นสมัยนี้ มีพื้นฐานทางศีลธรรมสำหรับเสื้อผ้า ดังนั้นจึงมีมาตรฐาน มีการรู้ว่าผู้ชายชอบอะไรและรู้ว่าความบาปทำอะไรกับการไม่สวมใส่เสื้อผ้า ดังเช่นเรามีพื้นฐานสำหรับการเข้าใจว่าพื้นฐานนี้ควรจะเป็นเช่นไร

ทำไมต้องมีธรรมบัญญัติและศีลธรรม?

คุณจะพูดกับลูกๆอะไรเกี่ยวกับธรรมบัญญัติ? บางทีคุณบอกเด็กๆว่าบางอย่างถูก บางอย่างผิดคุณเคยอธิบายแก่พวกเด็กๆไหมว่าความถูกหรือความผิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? คุณอาจพูดว่าเรามีความถูกและความผิดเพราะว่าพระเจ้าได้ให้ธรรมบัญญัติแก่เราหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ทำไมพระเจ้ามีความชอบธรรมที่พูดว่าอะไรถูกและอะไรผิด? ทำไมถูกและทำไมผิด? (เช่น บัญญัติสิบประการ) ให้เราคิดถึงเรื่องราวในพระธรรมมัทธิว ١٩:١٦ เมื่อมีชายคนหนึ่งมาหาพระเยซูและพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้าข้าพระองค์จะทำสิ่งใดดีที่จะได้ชีวิตนิรันดร์?

Laws

” คุณจะตัดสินใจได้อย่างไรถ้าบางสิ่งบางอย่างถูกหรือผิด ดีหรือเลว? พระเจ้าผู้เดียวที่ดีผู้ที่สร้างเราและเราเป็นของพระองค์และเราต้องเชื่อฟังพระองค์และเราต้องรับภาระต่อพระองค์ พระองค์ชอบธรรมที่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ พระองค์รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง (เช่น มีความรู้ที่สมบูรณ์) และดังนั้นเราต้องเชื่อฟัง นี่เป็นเหตุให้เรามีความสมบูรณ์ทำไมมีมาตรฐานและทำไมมีถูกและผิด ถ้าคุณไม่ได้เป็นคริสเตียนและคุณคิดบางสิ่งถูกบางสิ่งผิด ทำไมคุณถึงคิดเช่นนั้น? คุณไม่ได้มีพื้นฐานสำหรับการตัดสินใจเช่นนั้น คุณจะเข้าถึงมาตรฐานได้อย่างไร? คุณจะตัดสินใจอย่างไรว่าอะไรดีและอะไรเลว? คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนผู้ชี่เชื่อว่าอะไรถูกอะไรผิดก็ทำการปฏิบัติอย่างคริสเตียน ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเข้ามีปรัชญาที่เกี่ยวกับการวิวัฒนาการกล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าทั้งหมดเป็นผลของโอกาสและการสุ่ม ความตายและการดิ้นรนเป็นการลำดับของวันไม่เพียงแต่ปัจจุบันแต่ไม่มีข้อจำกัดในอดีตและในอนาคต “ ถ้าสิ่งนี้เป็นจริงก็ไม่มีมาตรฐานของความผิดหรือถูกที่คนส่วนมากเชื่อในวิวัฒนาการ ซึ่งเขาได้พูดว่า “ไม่มีพระเจ้า ทำไมเราจึงต้องเชื่อฟังสิทธิอำนาจเล่า? ทำไมถึงต้องมีกฎเกณฑ์เกี่ยวข้องกับการทำแท้ง? หลังจากนั้นทั้งหมด ทฤษฎีวิวัฒนาการบอกเราว่าราทั้งหมดเป็นสัตว์ ดังนั้นการฆ่าสัตว์โดยการทำแท้งเป็นสิ่งที่ไม่เลวร้ายไปกว่าการสับหัวปลาหรือไก่ ”ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการหรืการทรงสร้าง! สิ่งนี้มีผลกระทบต่อชีวิตของคุณทุกคน

พระธรรม โรม ٣:٢٠ “…เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ ”

ประเด็นนี้ได้นำไปสู่ความจริงแบบง่ายๆได้อธิบายโดยอาจารย์เปาโลในพระธรรมโรม ٣: ٢٠ “..เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ ” ในพระธรรมโรม ٧:٧ อาจารย์เปาโลได้เขียนต่อไปว่า”เราไม่รู้จักบาแต่โดยธรรมบัญญัติ ” พระเจ้าเป็นอยู่โดยได้บันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ความจริงถูกนำมาอย่างชัดเจน พระองค์เป็นใครและพระองค์ได้ทำอะไรได้อธิบายไว้อย่างเด่นชัด อย่างไม่ต้องมีจ้อสงสัยในความมีสิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่เหนือการทรงสร้างของพระองค์หรือทัศนคติของเราต่อพระองค์ในฐานะผู้ทรงสร้าง พระองค์มีความชอบธรรมที่จะตั้งกฎเกณฑ์มนุษย์เรามีความรับผิดชอบในการที่ต้องเชื่อฟังและชื่นชมยินดีในความดีของพระองค์หรือการไม่เชื่อฟังก็จะพบกับความทุกข์ทรมานในคำพิพากษา อาดัมเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้ทำข้อเลือกนี้เขาเลือกที่จะกบฏ การกบฏต่อพระเข้า ต่อน้ำพระหทัยพระองค์เป็นความบาป พระธรรมปฐมกาลบอกเราว่านี่เป็นการกระทำแรกของมนุษย์ที่กบฏต่อพระเข้าได้เกิดขึ้นในสวนเอเดน เพื่อให้เข้าใจว่าความบาปนั้นเป็นอย่างไร—นั้นคือมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป—และทำอย่างไรจึงรู้ว่าบาป พระเจ้าได้ให้ธรรมบัญญัติแก่เราพระองค์มีสิทธิและมีความรักที่เกี่ยวข้องในการทำสิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงสร้างและลักษณะของพระองค์ยอมไม่ให้มีการสูญเสีย อำนาจทั้งหมด ความรักทั้งหมดสง่าราศีทั้งหมดพระองค์ได้ทรงวางไว้ที่เรา กฎเกณฑ์ที่เราอาศัยอยู่ได้ถ้าชีวิตเราได้พัฒนาในทางที่ควรเป็น ดังที่อาจารย์เปาโลได้เขียนไว้ในพระธรรมโรมบทที่ ٧:٧ “…แต่ว่าถ้ามิใช่ธรรมบัญญัติแล้วข้าพเจ้าก็คงไม่รู้จักบาป ...... ” พระคัมภีร์ได้สอนอย่างชัดเจนว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปอยู่ในภาวะที่กบฏต่อพระเจ้า เริ่มต้นที่ได้ให้ธรรมบัญญัติ ดังอาจารย์เปาโลได้อธิบายเกี่ยวกับความบาป แต่การรู้เกี่ยวกับความบาปไม่ได้เป็นคำตอบสำหรับปัญหาของความบาป ความต้องการมีมากกว่านั้น ผู้ทรงสร้างไม่ได้ลืมสัญญาของพระองค์ที่จะรักสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ในการที่พระองค์ได้จ่ายราคา—พระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าทนทุกข์ทรมานจนถึงความมรณาบนไม้กางเขนและพระเจ้าได้ตัดสินพระองค์ตามบาปนั้น แต่เราได้ตายไปกับอาดัมและเราผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ และมีชัยชนะเหนือความตาย และได้ฟื้นคืนชีวิตในพระองค์ คนเหล่านั้นผู้ที่ปฎิเสธพระผู้สร้างก็ปฎิเสธผู้หนึ่งที่มีสิทธิอำนาจสมบูรณ์— ผู้หนึ่งที่ตั้งกฎและรักษาพวกเขาเหล่านั้นไว้ ในพระธรรมผู้วินิจฉัยกล่าวว่า “ในสมัยนั้นยังไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ทุกคนทำตามอะไรก็ตามที่ถูกต้องในสายตาของตนเอง“ (ผู้วินิจฉัย ١٧:٦) คนเราทุกวันนี้มีความแตกต่างกันเล็กน้อย พวกเขาต้องการการสอนเกี่ยวกับวิวัฒนาการที่เป็นจริงและความเชื่อในการทรงสร้างที่ถูกละทิ้งไปด้วยเหตุที่ว่าเขาต้องการกฎเกณฑ์ที่เขาสร้างขึ้นมาเองพวกเขาต้องการรักษาธรรมชาติของมนุษย์ที่กบฏที่เขาได้รับมาจากอาดัมและเขาไม่ยอมรับสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างและผู้ให้กฎ ผู้ซึ่งมีสิทธิที่จะบอกพวกเขาอย่างแท้จริงว่าจะทำอะไร แท้จริงแล้วสิ่งนี้เป็นความขัดแย้งของการทรงสร้างกับหฤษฎีวิวัฒนาการ พระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์มีสิทธิไหมที่จะบอกมนุษย์ว่ามนุษย์จะต้องทำอะไรกับชีวิต? หรือมนุษย์สามรถตัดสินใจสำหรับตัวเขาเองว่าตัวเขาจะต้องทำอะไรที่ปราศจากผลที่จะเกิดขึ้นในความระทมทุกข์อย่างไร? นี่ไม่ได้เป็นคำถามทางสุนทรพจน์ ธรรมชาติเหล่านั้นมากมายที่เรียกร้องหาคำตอบจากบุคลแต่ละคน ดังนั้นสิ่งนี้ก็จะเข้ามาสู่มนุษย์ที่มีอิสระในการเลือกหรือไม่ และมนุษย์สามารถตัดสินใจได้ทุกสิ่งสำหรับตัวเขาเองหรือไม่หรือเขาเป็นของพระเจ้า มนุษย์ส่วนมากต้องการมีอิสระในตนเองและเชื่อว่าพวกเขาได้กระทำตามการตัดสินใจของตนเองและการเข้าใจด้วยตัวเอง แต่มนุษย์ไม่มีอิสระในการเลือกและเป็นสงครามที่ร้อนแรง พระคัมภีร์บอกเราว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้าและให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าอยู่ข้างในจะแสดงผลของพระวิญญาณคือความรัก ความชื่นชมยินดี ความสันติ อดทนนาน ความอ่อนสุภาพ ความดีความเชื่อ ความปรานี ความอดกลั้น (กาลาเทีย ٥: ٢٢- ٢٣) ส่วนผู้ที่ไม่ได้มีพระวิญญาณพระเจ้าสถิตอยู่และผู้ที่ปฎิเสธการทรงสร้างของพระเจ้าจะส่งผลให้เป็นการงานของเนื้อหนังคือการล่วงประเวณี การโสโครก การลามก การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกกัน การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร (กาลาเทีย ٥ :١٩-٢١) พระคัมภีร์ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่ารากที่ชั่วร้ายทำให้เกิดผลร้าย ภาพลามก การทำแท้ง รักร่วมเพศ ไร้ศีลธรรม อารมณ์ร้อน โกรธง่าย ศีลธรรมเสื่อม ไม่ซื่อสัตย์ในการแต่งงานและสิ่งอื่นๆเช่นนั้น—การปฏิบัติเช่นนี้ได้เพิ่มขึ้นมากขึ้นในสังคมปัจจุบันนี้—สิ่งเหล่านี้เป็นผลของรากความชั่วร้ายพวกเขาคือรากความชั่วร้ายจากทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างถาวรที่อยู่ในความคิดของมนุษย์ ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นทฤษฎีที่ต่อต้านพระเจ้าที่สร้างขึ้นโดยพวกมนุษย์ในปัจจุบันนี้ เป็นทฤษฎีที่สร้างความชอบธรรมที่ทำให้ตอบสนองความต้องการส่วนตนเองและปฎิเสธการทรงสร้างของพระเจ้า คนส่วนมากในปัจจุบันนี้ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป พวกเขาไม่ต้องการที่จะยอมรับว่าพวกเขาจะต้องก้มลงและคุกเข่าลงต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเขาไม่ต้องการที่ยอมรับว่าใครมีสิทธิอำนาจเหนือพวกเขาที่มีสิทธิบอกว่าพวกเขาต้องทำอะไร แม้ว่าหลายคนในคริสตจักรไม่เข้าใจว่ามีความหมายอย่างไรเมื่อมนุษย์ได้ถูกพรรณนาโดย “ผู้มีบาป” นักเทศน์ส่วนมาก(แม้ว่าใครส่วนมากที่คิดว่าพวกเขาเองเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ) คิดว่าคำจำกัดความของความบาปสามารถจำกัดดังเช่นการล่วงประเวณี การติดเหล้า ติด เฮโรอีน การเปลือย ภาพยนตร์เอกซ์ และภาษาที่หยาบ อย่างไรก็ตามความบาปไม่ได้หยุดที่นี่ เราต้องเข้าใจว่าความบาปมีผลกระทบในทุกๆด้านของชีวิตของเรา ความบาปได้ส่งอิทธิพลไปในทุกแง่มุมของวัฒนธรรม เราต้องเข้าใจว่าความบาปได้แพร่ไปในความคิดของเราและจิตใจของเรานั้นมีผลกระทบต่อการกระทำของเราทั้งหมดพระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่า “ความคิดชั่วร้าย การฆาตกรรม การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การพูดหมิ่นประมาท ก็ออกมาจากใจ “ (มัทธิว ١٥ :١٩) เราต้องเข้าใจว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างและให้กฎเกณฑ์และมนุษย์ทุกคนต้องคุกเข่าลงยอมจำนวนต่อพระองค์ที่ซึ่งจะมาถึงเวลาเมื่อทุกคนจะทำสิ่งนี้ดังที่บันทึกโดยอาจารย์เปาโล (ฟิลิปปินส์ ٢ :١٠-١١) “เพื่อ หัวเข่าทุกหัวเข่า ในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดี ใต้พื้นแผ่นดินโลกก็ดี `จะต้องคุกเข่ากราบลง' นมัสการในพระนามแห่งพระเยซูนั้น และเพื่อ `ลิ้นทุกลิ้นจะยอมรับ' ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา “ พระคำของพระเจ้า(เป็นพระคำที่ไม่มีที่ผิดและสมบูรณ์ของผู้ทรงสร้าง)ได้เป็นพื้นฐานในความคิดของเราพระเจ้าผู้ทรงสร้างเป็นผู้หนึ่งที่ได้จัดเตรียมพิมพ์เขียวสำหรับความสุข และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่คงที่ ถ้าพระคำพระเจ้าถูกเอาใจใส่พระองค์จะให้พื้นฐานสำหรับปรัชญา

คริสเตียนอย่างแท้จริงในทุกๆด้านของการเป็นอยู่ของมนุษย์—เกษตรกรรม เศรษฐศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ การเมือง การบังคับใช้กฎหมาย ศิลปะ ดนตรี วิทยาศาสตร์ ความสัมพันธ์ในครอบครัว—ในทุกด้านของชีวิต ในอีกทางหนึ่งมีทางของความคิดของคริสเตียนทั้งหมด มีหลักการพื้นฐานทางพระคัมภีร์ที่ครอบคลุมชีวิตมนุษย์ทุกด้าน พระผู้สร้างไม่ได้ละทิ้งสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างโดยไม่มีคู่มือคำสอน

“ตั้งแต่แรกพระวจนะของพระองค์คือความจริง และคำตัดสินอันชอบธรรมของพระองค์ทุกข้อดำรงอยู่เป็นนิตย์ “

(สดุดี ١١٩:١٦٠)

มนุษย์ปฏิเสธพระเจ้าโดยฐานะที่พระองค์คือพระผู้สร้าง(การที่ไม่ได้เริ่มต้นจากพระวจนะของพระองค์ที่เป็นพื้นฐานสำหรับความคิดในทุกๆด้านและไม่ยอมต่อพระองค์) จะได้รับผลในปัญหามากมายในสังคมที่เขาอาศัยอยู่นี่เป็นความเจ็บปวดที่โดดเด่นมากในจดหมายของผู้เขียนจากหนังสือพิมพ์ออสเตรเลีย เป็นที่ปรากฏชัดหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นได้วิธีการโฆษณาที่ต้องการคู่แต่งงานสำหรับงานในฟาร์ม พวกเขาได้บอกลิ่งเหล่านี้ว่าคงไม่มีการคำว่า “ตู่แต่งงาน” ปรากฏอยู่ ปัญหาหนึ่งที่ได้ปรากฏจาก “การแบ่งแยกชนชั้น” คำว่า “คู่แต่งงาน” ควรจะต้องถูกแทนด้วย “คนสองคน” สิ่งนี้ได้เป็นสาระที่ซึ่งบุคคลสองคนต้องการสมัครงาน คำถามคือ “อำนาจของใครที่ไม่ให้สิ่งพิมพ์นี้สามารถพิมพ์ออกประกาศได้?” คำตอบคือ “องค์กรสิทธิมนุษย์ชน” ผู้เขียนจดหมายนี้ได้ทำให้เกิดความหวาดกลัวอย่างมาก อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้เป็นผลของความคิดเชิงวิวัฒนาการและเราเพียงสามารถที่คาดหวังว่าจะมีสิ่งในทำนองนี้เกิดขึ้นตามมาอีกมาก

“โอพระเจ้า โปรดเปิดตาของข้าเพื่อเราจะได้เห็น”

สดุดี ١١٩:١٨

คริสเตียนที่ห่วงใยและมีชัยชนะต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าที่จะมีความโปร่งใสต่อทุกคน ทางที่น่ากลัวของมนุษย์ที่กบฏต่อพระเจ้าจะได้รับการรักษา คริสเตียนจำเป็นที่จะต้องสร้างความจริงที่มั่นคงว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างและพระองค์ได้ทรงให้กฎเกณฑ์ของพระองค์แก่เราเราจำเป็นต้องระลึกว่าความบาปคืออะไรและผลของบาปที่มีอยู่เป็นอะไร เราจำเป็นต้องประกาศถึงผลที่ได้รับจากบาปโดยทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ นอกเหนือกว่านี้จะไม่มีสถานการณ์ใดที่เยียวยาได้ การโจมตีต่อความคิดของวิวัฒนาการเป็นไปได้โดยการมีความหวังที่แท้จริงชนชาติของเราได้รับการช่วยกู้ในสังคมที่เราต้องอยู่ท่ามกลางความเหลวแหลกของศีลธรรม

เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักที่มนุษย์รับรู้ว่าถ้ามีพระผู้สร้างองค์หนึ่งเราจะต้องยอมต่อพระองค์ อย่างไรก็ตามเราไม่มีทางเลือก มนุษย์จะต้องระลึกว่ามนุษย์กบฏต่อผู้หนึ่งที่เป็นผู้สร้างตังเขาขึ้นมาเองเพียงแต่เราเข้าใจถึงกฎเกณฑ์ เข้าใจว่าบาปคืออะไร เข้าใจขั้นตอนที่จะได้รับการช่วยกู้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของแต่ละคนซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดผลมากมายในสังคม สังคมยิ่ง ปฎิเสธรากฐานของการทรงสร้างและกฎเกณฑ์ของพระเจ้ามากเท่าไร จิตวิญญาณและศีลธรรมของสังคมก็จะเสื่อมลงมากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาและควรจะเป็นสิ่งที่เตือนมนุษย์ ให้เราคิดพิจารณามนุษย์ในสังคมปัจจุบันนี้

ผลของการปฎิเสธพระเจ้าและความสมบูรณ์ของพระองค์

มิชชันนารีไก้ถูกส่งไปที่นิวกินีเพราะว่ามีพวกนอกศาสนาคือพวกที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าและเป็นคนที่เกิดที่ท้องถิ่นนั้นเรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ที่กินเนื้อสดสดซึ่งพวกนี้ได้หยุดกินเนื้อ ก่อนหน้านี้ผู้ชายก็ได้วิ่งไล่แย่งกันในหมู่บ้านแล้วก็จิกผมแล้วดึงให้หยุด ถีบเข้าไปที่ท้อง ใช้มีดไม้ไผ่แทงเข้าไปที่ท้อง ดึงไส้ออกมาตัดนิ้วออกและขณะเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ก็รุมกินจนถึงตายคนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็พูดว่า “โอ ช่างป่าเถื่อนอะไรเช่นนี้! “ พวกเขาไม่ได้ป่าเถื่อน บรรพบุรุษของพวกเขาชื่อว่า โนอาห์ บรรพบุรุษของชาวอินเดียนถูกเรียกว่าโนอาห์ บรรพบุรุษของชาวเอสกิโมถูกเรียกว่า โนอาห์ และบรรพบุรุษของพวกเราก็ถูกเรียกว่าโนอาห์ โนอาห์ได้รู้เรื่องพระเจ้าและมีความสามรถต่อเรือ บรรพบุรุษของพวกเขาสามารถทำเครื่องเล่นดนตรีได้และสามารถทำการกสิกรรมได้สิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับพวกนิวกินีถือว่าบางแห่งในประวัติศาสตร์(คือรอม เราบอกว่า) พวกเขาชื่นชมยินดีในความรู้ของพระเจ้าและกฎเกณฑ์ของพระองค์ และพระเจ้ากลับทำให้เขาโง่ไป กระจัดกระจายไป และ เสื่อมลงไป อย่างไรก็ตามความเสื่อมแบบนี้(เหมือนกับการปฎิเสธกฎเกณฑ์ของพระเจ้า)สามารถเห็นได้ในประเทศที่เรียกได้ว่ามีความศิวิไลม์ที่ได้ฆ่าชีวิตได้อย่างถูกกฎหมาย(หนึ่งล้านเรื่องของพวกเหล่านี้ในอเมริกาในแต่ละปี)นี่คือว่าการทำแท้งคืออะไร ที่เรียกว่าชนเผ่าเริ่มแรกมีบรรพบุรุษซึ่งรู้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแท้จริงและมีกฎเกณฑ์ของพระองค์ ตามที่พวกเขาได้ปฎิเสธพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ที่เป็นผู้สร้าง วัฒนธรรมของพากเขาได้เสื่อมลงในทุกด้าน ยิ่งมนุษย์มีความศิวิไลท์โดยปฎิเสธพระเจ้าผู้ทรงสร้างมากเท่าไร พวกเขาจะทำให้เกิดวัฒนธรรมดั้งเดิมมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นวัฒนธรรมไม่ควรจะถูกตีความตามที่ว่ามนุษย์เป็นพวกที่มีวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือวัฒนธรรมที่ก้าวหน้า(ตามที่สมมติฐานก่อนโดยมาตรของวิวัฒนาการ) แต่ในทุกแง่มุมของวัฒนธรรมของเขาจะต้องถูกตัดสินโดยมาตรฐานของพระคำพระเจ้า ชนชาติของคุณมีการวัดอย่างไร?

Tree

บทที่ ٧ ความตาย:เป็นการสาปแช่งและเป็นการอวยพร vทำไมต้องมีความบาปและความตาย

สมมติว่ามีบางคนมาหาคุณและกล่าวว่า “คุณที่เป็นคริสเตียนได้กล่าวว่าเราต้องการพระเยซูคริสต์และกล่าวว่าเราต้องสารภาพบาปของเรา บาปหรือ? ทำไมเราถึงต้องการพระเยซูในทุกทาง? นอกจากนี้พระเจ้าไม่ได้เป็น ผู้ที่จะกล่าวว่าพระองค์เป็น ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้า เหมือนกับที่คุณพูดว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก มองไปที่ความตายทั้งปวงและความทุกข์ทรมานในโลกนี้ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร? คุณควรจะพูดอะไร?”

ข่าวประเสริฐ ความบาป และ ความตาย

ข่าวประเสริฐคืออะไร? เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระเจ้าทรงสร้างให้สมบูรณ์ พระเจ้าได้สร้างมนุษย์สองคนแรก อาดัมและเอวา และพระองค์ทรงให้เขาทั้งสองอาศัยอยู่ในสวนเอเดนในที่ที่พิเศษสำหรับเขาทั้งสอง มีความสวยงามและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดัมและเอวา พระองค์ได้ให้เขาทั้งสองเลือก พระองค์ต้องการให้เจาทั้งสองมี---ไม่ใช่ใส่โปรแกรมเพื่อให้เขาทั้งสองตอบสนอง แต่ให้เขาทั้งสองตอบสนอง พวกเขาทั้งสองเลือกที่จะกบฏต่อพระเจ้า การกบฏนี้เรียกว่าบาป บาปทั้งมวลได้เข้ามาภายใต้รูปแบบของการกบฏต่อพระเจ้าและต่อน้ำพระทัยของพระองค์ ผลที่เกิดขึ้นจากการกบฏในสวนเอเดน มีหลายสิ่งได้เกิดขึ้นดังนี้ สิ่งแรก มนุษย์ได้หนีไปจากพระเจ้า การแยกเช่นนั้นเป็นการตายในจิตวิญญาณ โดยผลเช่นนี้สุดท้ายเป็นผลกระทบต่อโลกใยนี้ตั้งแต่นั้นมาโดยตลอดโดยความบาปในเนื้อหนังในการแยกออกจากพระเจ้าอย่างนิจนิรันด์ จินตนาการได้ว่าเรามีชีวิตอยู่กับฮิตเลอร์และซาตานตลอดไป! จินตนาการถึงการอาศัยอยู่กับความไม่ถูกต้อง สถานะจองบาปก็มีอยู่ตลอดไป แต่มีบางสิ่งที่เกิดขึ้นจากพระธรรม โรม ٤:١٢ บอกเราว่าผลลัพธ์ของการกระทำของมนุษย์นำมาซึ่งความบาป และผลของความบาปคือความตานแต่ไม่เพียงแต่ตายฝ่ายจิตวิญญาณ คังที่นักสาสนศาสตร์กล่าวอ้าง เพื่อเป็นการยืนยันสิ่งนี้เราต้องอ่านในพระธรรม ١ โคริสทร์ ١٥:٢٠ เมื่ออาจารย์เปาโลได้พูดถึงการตายฝ่ายร่างกายของอาดัมแรก และการตายฝ่ายร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นอาดัมสุดท้าย หรือพระธรรม ปฐมกาล บทที่ ٣ ที่พระเจ้าได้ไล่อาดัมและเอวาออกจากสวนเอเดนเพื่อว่าเขาทั้งสองจะไม่กินผลของต้นไม้แห่งชีวิตและมีชีวิตอยู่ตลอดไป การตายฝ่ายร่างกายเหมือนอย่างที่ตายฝ่ายจิตวิญญาณผลมาจากความบาปของเขานั่นเอง ทำไมพระเจ้าส่งความตายมา? ประเด็นของความตาย สามอย่างที่ควรพิจารณาอย่างระมัดระวังมีดังนี้

١. พระเจ้าผู้พิพากษาอันชอบธรรม ไม่สามารถมีบาปเพราะว่าพระองค์เป็นมากกว่าธรรมชาติและการเตือนที่พระองค์ได้ให้แก่อาดัมพระเจ้าต้องพิพากษาบาป พระองค์ได้เตือนอาดัมว่าถ้าเจ้ากินผลของต้นไม้แห่งชีวิตเจ้าจะรู้ถึงความดีและความชั่ว “วันใดที่เจ้ากินเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน” การแช่งสาปโดยความตายได้ปรากฏในโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและผู้ที่เป็นผู้พิพากษาโดยชอบธรรมจากพระเจ้าคือผู้ที่เป็นผู้พิพากษา

٢. หนึ่งในประเด็นของการกบฏของมนุษย์คือการได้แยกออกจากพระเจ้า การสูญเสียความรักผ่านทางความตายแสดงถึงความเศร้าโศกของการแยกออกจากกันระหว่างการปล่อยให้อยู่ข้างหลังและผู้หนึ่งผู้ซึ่งได้ออกไปจากโลกนี้เมื่อเราคิดถึงว่าความเศร้าเป็นอย่างไรคือเมื่อความรักของผู้นั้นได้ตายลง สิ่งนี้จะเตือนเราโดยผลของการทุกข์ทรมานจากบาปซึ่งได้แยกอาดัมออกจากความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์ระหว่างเขาและพระเจ้า การแยกออกนี้เกี่ยวโยงกับมนุษย์ทุกคนเพราะว่าบาปของอาดัมได้แทนบาปทั้งหมด

٣. ประเด็นอีกอย่างหนึ่งของความตายที่มนุษย์ทั้งหลายได้พรากไปคือพระเจ้าได้ส่งความตายเพราะว่าพระองค์ทรงรักเรามาก พระเจ้าเป็นความรักและแปลกดังเสียงของมันเราควรสรรเสริญพระองค์สำหรับการแช่งสาปที่พระองค์ให้แก่มนุษย์ ไม่ใช่น้ำพระหทัยของพระเจ้าที่มนุษย์ถูกตัดออกจากพระเจ้าอย่างถาวรคิดถึงว่าเรามีชีวิตอยู่ในสภาวะบาปตลอดนิจนิรันด์โดยการแยกออกจากพระองค์ การแช่งสาปได้วางลงบนเราโดยการตายฝ่ายเนื้อหนังพระองค์ได้เตรียมทางเพื่อไถ่มนุษย์ให้กลับมาสู่พระองค์เอง ในความเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานจนถึงความมรณะบนไม้กางเขนเพื่อเราทั้งหลายพระองค์ได้ทรงลิ้มรสของความตายก็เพื่อมนุษย์ทุกคน(ฮิบรู ٢:٩)โดยเราเองก็ได้กลายเป็นเครื่องถวายบูชาอันสมบูรณ์สำหรับความบาปในการกบฏ พระองค์มีชัยชนะเหนือความตายพระองค์ทรงรับความผิดบาป รับโทษโดยการพิพากษาอันชอบธรรมและทนในพระวรกายของพระองค์บนไม้กางเขน ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา จะได้กลับไปสู่พระองค์และได้รับชีวิตใหม่กับพระองค์ ข่าวสารนี้อัศจรรย์ไม่ใช่หรือ? นี่เป็นข่าวสารของพวกคริสเตียน มนุษย์ได้สูญเสียตำแหน่งที่สำคัญผ่านทางบาปและผลจากพระเจ้าได้วางลงบนเขาในการแช่งสาปถึงตายดังนั้นเขาควรจะได้รับการแทนที่กลับมาหาพระเจ้าอะไรเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่พระเจ้าได้กระทำ! ทุกครั้งที่เราทำพิธีศีลมหาสนิทเราได้ระลึกถึงการวายพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์และความสะอิดสะเอียนของความบาป แต่ละวันของพระเจ้าเราชื่นชมยินดีในการคืนพระชนม์ของพระองค์และก็เป็นผลของความบาปและความตาย

Christianity

แต่วิวัฒนาการได้ทำลายพื้นฐานอย่างมากของข่าวประเสริฐแห่งความรัก ขนวนการของทฤษฎีวิวัฒนาการได้สมมติให้มีความตายครั้งเดียวและการดิ้นรน การโหดร้าย และความหยาบคาย มันเป็นการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเพื่อการอยู่รอด การกำจัดความอ่อนแอและบิดเบือนรูปทรงนี่เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีวิวัฒนาการ—ความตาย หลั่งเลือด และการดิ้นรนเพื่อให้มนุษย์ดำรงค์อยู่ ความตายได้อยู่มาเป็นล้านปี มันได้ขึ้นๆลงๆ “ความก้าวหน้า” ได้มาสู่มนุษย์ พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ในพระธรรมโรม ٥:١٢ ไม่ใช่หรือ? การกระทำของมนุษย์นำไปสู่ความบาป ชี่นำไปสู่ความตาย พระคัมภีร์ได้บอกแก่เราว่าปราศจากการหลั่งเลือดก็ไม่มีการล้างบาป (ฮิบรู ٩:٢٢) พระเจ้าสถาปนาความตายและการหลั่งเลือดเพื่อที่ว่ามนุษย์จะได้รับการไถ่ถ้าความตายและการหลั่งเลือดมีก่อนที่อาดัมได้ทำบาป พื้นฐานของการอภัยโทษก็ถูกทำลายลง นักวิวัฒนาการคงกล่าวว่าความตายและการดิ้นรนของมนุษย์ก็เพื่อการดำรงค์อยู่ พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าการกบฏของมนุษย์นำไปสู่ความตายประโยคเหล่านี้ไม่ถูกต้องประโยคหนึ่งขัดแย้งกับอีกประโยคหนึ่ง---ประโยคเหล่านี้ขัดแย้งในทางมิติ นั่นเป็นเพราะใครก็ตามที่อ้างถึงหลักทั้งสองในเวลาเดียวกัน(ศาสนศาสตร์และวิวัฒนาการ) ก็จะทำลายพื้นฐานของข่าวประเสริฐถ้าชีวิตถูกสร้างขึ้นมาโดยการเกิดขึ้นต่อเนื่องทำไมมนุษย์จึงล้มลงไปในทางตรงกันข้าม? บาปคืออะไร? แล้วบาปก็อาจเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในคุณลักษณะของสัตว์ ไม่ใช่บางสิ่งที่ล้มลงของมนุษย์โดยการไม่เชื่อฟัง คริสเตียนส่วนมากที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการและเพิ่มพระเจ้าเข้าไป จะเป็นการทำลายข่าวประเสริฐที่เขาได้เชื่อ ณ ที่คริสตจักรแห่งหนึ่งได้กล่าวว่าคริสเตียนจะต้องเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ เพราะว่าผมได้ใช้เวลาพิจารณาช่วงที่มีการแบ่งปันว่าพระคัมภีร์ได้สอนว่าไม่มีความตายก่อนที่มนุษย์ล้มลง ผมก็ได้ถามเขาว่าจริงหรือที่ไม่มีความตายก่อนที่อาดัมล้มลง ด้วยเสียงที่โกรธเขาได้ถามผมว่า “คุณได้ทุบตีภรรยาคุณหรือไม่?” คำถามนี้ทำให้ผมสะดุดเล็กน้อยและผมไม่แน่ใจเลยที่เดียวในจุดที่เขาต้องการคำตอบ ดังนั้นผมก็ได้ถามเขาว่าเขาหมายถึงอะไร เขาได้ถามผมอีกครั้งหนึ่ง “คุณได้ทุบตีภรรยาคุณหรือไม่? ” แล้วเขาก็เดินออกไปชีวิตได้ล้มลงโดยประสบการณ์ที่น่าสนใจจากเรื่องราวของการเทศนา อย่างไรก็ตาม ผมได้คิดถึงคำแนะนำของมนุษย์ในคำถามนี้ หลังจากที่ได้พูดคุยกับนักจิตวิทยาที่มีรูปแบบของคำถามที่สามารถถามและไม่ว่าคุณจะตอบใช่หรือไม่ใช่คุณก็จะติดกับดัก แท้จริงแล้วคำถามที่คนนี้ควรถามคือ “ถ้าคุณตอบใช่หรือไม่ใช่คุณก็กำลังยอมรับว่าคุณได้ทุบตีภรรยา ในความสัมพันธ์กับประเด็นความตายและการล้มลงของอาดัม ถ้ามนุษย์ได้ตอบคำถามที่ยืนยัน ” ใช่ มีความตายก่อนที่อาดัมล้มลง” เขาควรจะยอมรับในความเชื่อในบางสิ่งที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ ถ้าเจาตอบว่าไม่ เขาปฎิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการ ในทั้งสองทางเขากำลังแสดงว่ามนุษย์ไม่ควรเพิ่มวิวัฒนาการลงในพระคัมภีร์ เขาก็ติดกับดักและเขาก็รู้คำตอบ ผมจำเป็นต้องพูดอย่างเน้นทีเดียวว่าผมจะไม่พูดว่า ถ้าคุณเชื่อในวิวัฒนาการคุณก็ไม่ใช่คริสเตียน มีคริสเตียนมากมายผู้ที่มีเหตุผลมากมาย(ไม่ว่าสิ่งที่เกินไปจากความไม่รู้ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการสอนอะไร วามหยิ่ง การตีความข้อพระคัมภีร์ตามตัวอักษร) ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ คนเหล่านั้นที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการจะมีความไม่อยู่กับร่องกับรอยหรือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาและโดยแท้จริงแล้วเป็นการทำลายพื้นฐานของข่าวประเสริฐ ดังนั้นผมได้สัญญากับพวกเขาเพื่อให้คิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อที่เขายึดติดอยู่

แม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าตระหนักถึงความไม่สอดคล้องกันในความเชื่อคริสเตียนในวิวัฒนาการ ตามที่ได้เห็นในคำถามจากบทความโดย จี ริชาร์ด โบสาทที่ชื่อว่า “ความหมายของทฤษฎีวิวัฒนาการ” จากบทความ “เดอะอเมริกันเอธิส” พวกคริสเตียนได้เป็น—ต้องเป็น--ผู้ที่ยอมรับทั้งหมดในการทรงสร้างพิเศษดังที่ได้บรรยายในพระธรรมปฐมกาลและพวกคริสเตียนจะต้องต่อสู้กับความเท่าเทียมกันหรือความโง่เขลาในทฤษฎีวิวัฒนาการ...อย่างไรก็ตามเป็นที่ชัดเจนว่าความชอบธรรมทั้งหมดของชีวิตพระเยซูคริสต์และความตายได้เกิดขึ้นกับการเป็นตัวตนของอาดัมและผลที่เกิดจากการห้ามที่มีต่ออาดัมและเอวา ปราศจากการมีบาป ณ. จุดเริ่มต้น ใครคือผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการไถ่? ปราศจากการล้มลงของอาดัมในความบาปของชีวิตทำให้จุดสุดท้ายคือความตาย อะไรคือวัตถุประสงค์เหล่านั้นในชีวิตคริสเตียน? ไม่เลย” ชากัว

มอนนอทผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า(ได้เขียนในข้อสนับสนุนในชีวโมเลกุลและปรัชญา)กล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ชื่อว่า “เดอะซีเครทไลฟท์” การกระจายข่าวโดยสมาคมการกระจายเสียงออสเตรเลีย ใน วันที่ ١٠ มิถุนายน ١٩٧٦ ตามที่เขียนให้แก่เขาว่า “ทางเลือกที่มืดสนิทที่สุดและทางที่โหดร้ายที่สุดของการเกิดวิวัฒนาการชนิดใหม่และมีความซับซ้อนมากขึ้นมากขึ้นเท่าไรของขบวนการทางร่างกายที่คัดกรองออกมา…ความโหดร้ายก็มากขึ้นเท่านั้นเพราะว่าไม่ได้เป็นขบวนการของการกำจัด การทำลาย การดิ้นรนสำหรับชีวิตและการกำจัดความอ่อนแอที่สุดที่เป็นกระบวนการที่น่ากลัวต่อสิ่งที่พัวพันกับจริยธรรมในสมัยใหม่ทั้งหมด ; สังคมอุดมคติเป็นสังคมที่ไม่มีทางเลือกเป็นสิ่งหนึ่งที่ความอ่อนแอได้ถูกปกป้องไว้ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเป็นการย้อนกลับที่เรียกกันว่ากฎทางธรรมชาติ ผมมีความประหลาดใจที่คริสเตียนได้ปกป้องความคิกที่ว่าสิ่งนี้เป็นกระบวนการที่พระเจ้าตั้งไว้ไม่มากก็น้อยเพื่อมีทฤษฎีวิวัฒนาการ”

จุดเริ่มต้นของบาปกับความตายและผลของมัน เป็นพื้นฐานของข่าวประเสริฐ และนี่เป็นเรื่องราวที่ว่าทำไมองค์พระเยซูคริสต์จึงต้องเสด็จเข้ามาในโลกนี้ ถ้าอาดัมแรกเป็นเพียงเรื่องเล่าจริง แล้วทำไมอาดัมสุดท้าย(١ โครินร์ ١٥:٤٦- ٤٧)จึงไม่ใช่พระเยซูคริสต์หรือ? ถ้ามนุษย์ไม่มีความบาปที่แท้จริงแล้วก็คงไม่จำเป็นต้องมีพระผู้ช่วยให้รอด ทฤษฎีวิวัฒนาการได้ทำลายพื้นฐานของคริสเตียนอย่างมาก เพราะเป็นทฤษฎีที่กล่าวว่า “ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสมอไป” เดี่ยวนี้ถ้าคุณอาศัยอยู่ในตึกสูงถ้ามีคนหลายคนที่อาศัยอยู่ข้างใต้เอาฆ้อนทุบทำลายพื้นฐานคุณจะพูดว่าอย่างไร?”นี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนกำลังทำอยู่ คริสเตียนได้กล่าวหาต่อทฤษฎีวิวัฒนาการผ่านทางสื่อสารธารณะ ทางโรงเรียน ทั้งระบบการศึกษา ทางโทรทัศน์ และทางหนังสือพิมพ์และยังมีปฏิกิริยาตอบโต้ รากฐานของตึกสูงของกลุ่มคริสเตียนกำลังได้รับการกัดกร่อนโดยผู้มีฆ้อนของทฤษฎีวิวัฒนาการที่คอยทำลายรากฐานนี้ แต่ภายในตึกสูงระฟ้าคริสเตียนทั้งหลานกำลังทำอะไร? พวกคริสเตียนกำลังนั่งลง ไม่ได้ทำอะไรแต่กำลังโยนพวกทุบทำลายออกไปและพูดว่า “ นี่ยังมีอีกนิดหนึ่ง! ไปทำลายรากฐานเราซิ”

นักวิวัฒนาการที่เชื่อพระเจ้า(ผู้ซึ่งเชื่อทั้งทฤษฎีวิวัฒนาการและเชื่อพระเจ้ายังคงพยายามที่จะทำลายรากฐานของข่าวประเสริฐ ดังสดุดีได้กล่าวว่า “ถ้ารากฐานถูกทำลาย ผู้ชอบธรรมจะทำอย่างไร? (สดุดี ١١: 3)” ถ้ารากฐานของข่าวประเสริฐถูกทำลายโครงสร้างที่ถูกสร้างบนรากฐานนั้นจะพังครืนลงมา ถ้าพวกคริสเตียนปรารถนาที่จะทำนุบำรุงรักษารากฐานนี้ไว้คริสเตียนจะต้องมีการกระทำที่ตัดโค่นทฤษฎีวิวัฒนาการ

สวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ สวรรค์กลับคืน

ทฤษฎีวิวัฒนาการทำลายการสอนเกี่ยวกับโลกใหม่และแผ่นดินใหม่ด้วยเหมือนกัน เราได้ถูกยอกให้รู้อะไรเกี่ยวกับสวรรค์ใหม่และโลกใหม่? พระธรรมกิจการ ٣:٢١ กล่าวว่าจะมีการฟื้นกลับมาใหม่ นั่นหมายความว่าสิ่งต่างๆจะถูกฟื้นกลับมาใหม่อย่างน้อยก็เข้าสู่ที่ที่มันได้เริ่มต้นมา เราได้รู้ว่ามันจะเป็นเหมือนกับอะไร”” จะไม่มีการเจ็บปวด ไม่มีการทำลาย ณ. ที่ภูขาอันศักดิ์สิทธิ์” (อิสยาห์ ١١:٩) นี่จะเป็นพวกที่กินผักและไม่มีความรุนแรง ”หมาป่าจะอาศัยยู่กับลูกแกะ และเสือดาวจะอยู่กับลูกเล็กๆ และ ลูกวัว สิงห์โตหนุ่ม อยู่ด้วยพัน.. และเด็กเล็กจะนำพวกเขาไป...และสิงห์โตจะกินหญ้าหมือนอย่างวัว” (อิสยาห์ ١١:٦)---นี่เป็นพวกที่กินผัก! “และจะไม่มีการสาปแช่ง” (วิวรณ์ ٢٢:٣)

ในพระธรรมปฐมกาลเราพบว่ามนุษย์และสัตว์ได้ถูกบอกให้กินพืชเท่านั้น(ปฐก ١:٢٩- ٣٠) เป็นพวกกินผักทั้งหมด เพียงแต่แต่ภายหลังจากน้ำท่วมโลก มนุษย์ก็ได้บอกให้กินเนื้อ(ปฐก ٩:٣) มีเพียงพวกที่กินผักเมื่อพระเจ้าทรงสร้างครั้งแรกและไม่มีความรุนแรงก่นอาดัมทำบาป คนบางคนต้านการอ้างว่าการทรงสร้างครั้งแรกเป็นพวกกินผักโดยการกล่าวว่าสิงห์โตมีฟันแหลมคมถูกสร้างเพื่อให้กินเนื้อ นี่เป็นความจำเป็นเช่นนั้นหรือ? หรือเป็นเพียงสิ่งที่คุณได้สอนในโรงเรียน? เราควรจะพูดอะไรที่ว่า สิงห์โตมีฟันที่แหลมและมรเขี้ยวเหมาะในการแทะ ฟันที่เหมือนกันที่เหมาะในการแทะสัตว์อื่นๆก็เหมาะสำหรับการกินพืช โดยพระวจนะของพระเจ้า สิงห์โตกินผักก่อนที่จะมีการล้มลงในบาปและจะเกิดอีกครั้งหนึ่งในสวรรค์ข้างหน้า โดยทางนี้ สัตว์“กินเนื้อ” ก็ยังคงกินพืช พวกหมาและแมวจะมีชีวิตอยู่รอดดีทีเดียวเมื่อได้รับอาหารที่สมดุลของพืช พระคัมภีร์ไม่ได้แยกความเป็นไปได้ของการกระทำโดยตรงโดยพระเจ้า ณ เวลา ที่ตกอยู่ในความบาป (และในการช่วยกู้ในอนาคต) การมีผลกระทบทางชีววิทยาโดยตรงของการทรงสร้างในความสัมพันธ์ต่อนิสัยในการกินอาหารแม้สัตว์ที่ทีชีวิตมากมายในปัจจุบันที่เป็นสัตว์ที่กินเนื้อที่มีฟัน แต่มันก็ใช้ฟันสำหรับกินพืชและผลไม้ (เช่น สุนัขจิ้งจอกที่บินได้ หรือค้างคาวที่กินผลไม้)

การเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการเพื่อที่จะปฎิเสธสวรรค์สากลก่อนอาดัม เพราะว่าทฤษฎีวิวัฒนาการพูดเป็นนัยอย่างมีนัยสำคัญว่าก่อนอาดัมมีการดิ้นรน ทารุนโหดร้าย และป่าเถื่อน สัตว์?กินสัตว์และก็ตาย โลกเรานี้จะกลับคืนสู่แบบนั้นหรือ? ถ้าคุณเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ คุณจะต้องปฎิเสธสวรรค์สากลก่อนยุคอาดัม (เพราะพระคัมภีร์สอนว่าโลกจะฟื้นกลับมาสู่โลกที่เคยเป็น)ดังนั้นทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เพียงแต่กระทบต่อหัวใจและรากฐานของเรา แต่ยังเป็นความหวังของคริสเตียนด้วยเหมือนกัน เราควรจะออกไปข้างนอกเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ราทั้งหลายส่วนมากได้ถูกหลอกลวงในความคิดว่าทฤษฎีวิวัฒนาการได้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคุณจำเป็นต้องมีวิทยาศาสตร์เพื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโต้แย้งกับทฤษฎีนี้ แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นเพียงระบบความเชื่อและคุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะโต้แย้งทฤษฎีวิวัฒนาการ

พวกคริสเตียนผู้ที่เชื่อว่าในวิวัฒนาการจะต้องยอมรับว่าวิวัฒนาการคงดำเนินต่อไป นี่เป็นเพราะความตายและการดิ้นรนที่เราเห็นในโลกรอบตัวเรานี้และการเปลี่ยนแปลง(สิ่งที่ผิดปกติ) ที่กำลังเกิดขึ้นโดยการใช้นักวิวัฒนาการเพื่อพยายามที่จะพิสูจน์ความเป็นไปได้ของวิวัฒนาการ การประเมินในอดีตพวกเขาเห็นอะไรในปัจจุบันนี้และพิสูจน์หาเหตุผลว่ากระบวนการนี้กว่าล้านปีเป็นพื้นฐานของการวิวัฒนาการ ดังนั้นคริสเตียนที่ยอมรับวิวัฒนาการต้องเห็นด้วยว่าวิวัฒนาการกำลังเกิดขึ้นในทุกสาขารวมทั้งในมนุษย์ อย่างไรก็ตามพระเจ้าได้กล่าวไว้ในพระวจนะของพระองค์ว่าเมื่อพระองค์ได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์เสร็จงาน งานการทรงสร้างและประกาศให้เห็นว่า “ดี” (ปฐก ١:٣١- ٢:٣) นี่เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่นักวิวัฒนาการได้กำลังบอกเรา นักวิวัฒนาการศาสนศาสตร์ไม่สามารถกล่าวว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าใช้วิวัฒนาการและปัจจุบันไม่ใช่ เพื่อที่จะบอกว่าการวิวัฒนาการไม่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ก็เพื่อที่จะทำลายวิวัฒนาการ พวกคนที่ไม่มีรากฐานสำหรับการพูดเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในอดีตด้วยเหมือนกัน

มีคริสเตียนมากมายที่ได้สอนเรื่องธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง--ว่าการวิวัฒนาการเป็นความเชื่อทางศาสนาความเชื่อการทำแท้งเช่นวิวัฒนาการศาสนศาสตร์และการทรงสร้างที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามมีผู้รับใช้ นักศาสนศาสตร์และคนอื่นจำนวนมาก ผู้ที่(เนื่องจากได้มองพระคัมภีร์ทั้งหมด)ไม่ยอมรับพวกนั้นได้พูดอะไร เขามีพื้นฐานในความไม่เห็นด้วยที่เกี่ยวกับปรัชญากับตัวเราโดยคำนึงถึงจะนำเข้าสู่พระคัมภีร์ได้อย่างไร

บางทีการสรุปความที่ดีที่สุดของการโต้แย้งนี้ก็เพื่อเป็นการให้เห็นตัวอย่างจากการเผชิญหน้าที่ผมได้มีต่อการรับใช้ในคริสจักรโปรเตสแต้นท์

บุคคลากรจากสมาคมวิทยาศาสตร์การสร้างที่บริสเบน ออสเตรเลียได้เดินทาง ١٧٠٠ กิโลเมตรไปยังวิคเตอร์เลียชักนำให้มีการประชุมในศูนย์ต่างๆ ณ บริเวณแห่งหนึ่ง ผู้รับใช้ได้โต้แย้งอย่างเปิดเผย ในคริสตจักรเดียวกันผู้รับใช้อีกคนหนึ่งได้เขียนสัปดาห์วิจารณ์ที่เป็นปฏิปักษ์ที่เกี่ยวข้องในการเยี่ยมเยียนของผู้รับใช้ที่คัดต้านการได้รับสัญลักษณ์ลวดลายก่อนที่ใบประกาศจะถูกพิมพ์และการโฆษนารั้นก็ถูกลบออก เขาได้ยุยงมวลชนโดยการไม่ยอมรับโปรแกรมการสัมมนาของเราและใช้คำพูดที่ลดความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับองค์กรและการสอนของเรา เขาได้บอกประชาชนว่าเราเป็นของปีศาจและพวกเขาจะไม่ได้ยินเรา

ผมได้นัดกับผู้รับใช้คนนั้นเพื่อจะปรึกษากับเขา เขาได้อธิบายว่าเขาเชื่อในพระธรรมปฐมการที่เป็นเพียงสัญลักษณ์ ซึ่งมีความผิดพลาดใหญ่หลวงในพระคัมภีร์และไม่มีใครสามารถนำมาใช้ตามแบบที่เป็นจริงตามที่เขาจะเชื่อเหตุผลที่เราได้มีการไม่เห็นด้วยที่เกี่ยวข้องกับการทรงสร้างโลกและวิวัฒนาการเป็นเพราะเราได้มีการไม่เห็นด้วยที่มีรากฐานเกี่ยวกับปรัชญาโดยวิธีการของตัวเองไปสู่พระวจนะ เขาเห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้นแต่ได้เน้นความขัดแย้งว่าเราไม่ควรนำพระธรรมปฐมการมาใช้โดยเชื่อว่าเป็นจริงและพระธรรมปฐมการนั้นก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ ผมได้ถามเขาต่อไปว่าเขาได้เชื่อว่าพระเจ้าได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกไม่ใช่หรือ เขาได้พูดว่า “ ใช่ แน่นอนนี่เป็นข่าวสารซึ่งปฐมกาลได้สอนอย่างนั้น” ผมได้ยกพระธรรมปฐมการมาอย่างตั้งใจคือ ปฐมการ ١:١ “ คุณเชื่อหรือไม่ว่าในปฐมการพระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก?” เขาตอบว่า “ใช่แน่นอน ผมเชื่อ นั่นเป็นข่าวสารที่ได้เข้ามาถึงเรา” ผมได้อธิบายแก่เขาว่าเขาได้เพียงนำปฐมการ ١:١ มาใช้โดยตามความเป็นจริง เขาได้ถูกถามว่า ปฐมการ ١:١ เป็นสัญลักษณ์หรือไม่และถ้าไม่ใช่สัญลักษณ์ทำไมเขาไม่นำมาใช้โดยตามความหมายที่แท้จริง แล้วผมก็ได้ถามต่อว่า ปฐมการ١:٢ เป็นตามความจริงหรือเป็นสัญลักษณ์ ผมได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่อยู่กับร่องกับรอยของการยอมรับว่าปฐมการ ١:١ เป็นตามความจริงแต่การกล่าวถึงพระธรรมปฐมกาลทั้งเล่มเป็นสัญลักษณ์ เขาได้พูดออกมาว่านี่ไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญว่าพระธรรมปฐมกาลได้กล่าวว่าอะไร—เพียงแต่ความว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า

“คุณได้เคยเข้าใจในความหมายของสิ่งใดสิ่งหรืออย่างไรถ้าคุณไม่รู้ว่าสิ่งนั้นได้บอกอะไร”

ผมถาม”ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าสิ่งว่าได้กล่าวไว้มีความหมาย แล้วภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นก็กลายเป็นเรื่องไร้สาระ” แล้วผมก็ได้ได้ถามเขาว่าเขาตัดสินใจอย่างไรว่าพระวจนะพระเจ้าเป็นความจริง เขาตอบว่า “โดยความเห็นด้วยท่ามกลางกลุ่มสามัคคีธรรม” ดังนั้นผมได้กล่าวว่า “นี่เป็นรากฐานของการตัดสินใจว่าความจริงคืออะไร

คุณได้รากฐานนี้มาจากที่ไหน และคุณรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นรากฐานที่ถูกต้องสำหรับการตัดสินใจว่าจริง ?“ เขาได้มองมาที่ผมและกล่าวว่า “โดยความเห็นด้วยท่ามกลางกลุ่มนักวิชาการ” และผมก็ได้วางคำถามต่อเขาอีกว่า “ ถ้าสิ่งนี้เป็นรากฐานสำหรับการตัดสินใจว่าสิ่งนี้จริงและไตร่ตรองว่าเพื่อนในกลุ่มได้สรุปความถูกต้องเกี่ยวกับความจริง คุณรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นรากฐานที่ถูกต้องต่อการพิจารณาว่าความจริงคืออะไร“ แล้วเขาได้บอกผมว่าเขาไม่มีเวลาทั้งวันที่จะพูดกันเรื่องนี้ และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะหยุดพูดเรื่องนี้ แน่นอน เราได้กำลังทำอะไรเพื่อที่จะวิงวอนในสติปัญญาของมนุษย์เพื่อที่จะตัดสินใจว่าพระพระวจนะพระเจ้ามีความหมายและพูดไว้อย่างไรมากไปกว่าที่จะยอมรับว่าพระคำพระเจ้าบอกเขาว่าความจริงเป็นอย่างไร ความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างตำแหน่งของเราสามารถสรุปได้ดังนี้ คุณวางความเชื่อไว้ที่ไหน—ในคำพูดของมนุษย์ผู้ซึ่งผิด มนุษย์ผู้ซึ่งไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ซึ่งไม่ได้อยู่ที่นั่น----หรือเชื่อในพระวจนะพระเจ้าผู้ที่สมบูรณ์ทุกอย่าง ผู้ซึ่งรู้ทุกอย่าง และเป็นผู้ที่อยู่ที่นั้น?

คริสเตียน(หรือผู้ใดที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน)ผู้ที่มองว่าพระวจนะพระเจ้าเป็นความจริงจะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ทางปรัชญาไม่น่าเชื่อถือ ในยุคลูกหลานต่อไป >เพราะเหตุว่าเขาไม่ได้เตรียมรากฐานที่มั่นคงให้แก่ลูกหลานของเขาบ่อยครั้งที่เขาได้เห็นโครงสร้างทั้งหมดของพวกคริสเตียนได้ล้มครืนลงในยุคลูกหลานต่อมา เพราะว่าคนเหล่านี้ส่วนมากได้เศร้าโศกเสียใจแต่ความจริงคือว่าลูกหลานของพวกเขาส่วนใหญ่ปฎิเสธคริสเตียนอย่างสิ้นเชิง ปัญหานี้นำไปสู่ศาสนศาสตร์เสรีที่พัวพันกับการโต้แย้งในพระธรรมปฐมกาล ถ้าใครก็ตามปฎิเสธ พระธรรมปฐมกาลหรืออ้างว่าเพระธรรมปฐมกาลเป็นสัญลักษณ์หรือนิยาย ตรรกะนี้จะนำไปสู่การปฎิเสธพระธรรมเล่มอื่นๆที่เหลืออยู่ เห็นได้ว่าสิ่งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ผู้ที่พยายามจะอธิบายว่าเป็นการอัศจรรย์ เช่นการอพยพข้ามทะเลแดง พุ่มไม้ติดไฟได้ หรือปลาที่กลืนคน แต่ก็ไม่ได้หยุดตรงนี้ และยังอธิบายว่าเป็นการทำอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ในพันธ์สัญญาใหม่ บางครั้ง(และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ) คือการประสูติจากหญิงพรหมจรรย์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูก็ถูกปฎิเสธ เมื่อมนุษย์ยอมรับพระธรรมปฐมกาลมีความหมายว่าเป็นจริงและเข้าใจได้

นี่เป็นรากฐานของพระคัมภีร์ที่เหลือทั้งหมด เป็นการง่ายที่มีขั้นตอนที่ยอมรับความจริงในส่วนที่เหลือว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าอย่างไร บทตีความพระคัมภีร์ตามความหมายที่แท้จริงเว้นไว้แต่ว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างเด่นชัด แม้ว่าที่เป็นสัญลักษณ์ เป็นคำ เป็นวลี ที่ใช้มีรากฐานที่มีความหมาย คนส่วนมากใช้ตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่ได้กล่าวว่าพระเยซูคริสต์เป็นประตู เพื่อที่จะพูดว่าเราไม่สามารถตีความตามความหมายเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจในวัฒนธรรมขณะนั้น เราพบว่าผู้เลี้ยงแกะได้เคยนั่งลงที่ประตูใหญ่และตีความหมายว่าเป็นประตูที่แท้จริง ดังนั้นในลักษณะนี้ความหมายทางพระคัมภีร์คือพระเยซูคริสต์เป็นประตูเหมือนกับที่การตีความหมายว่าผู้เลี้ยงแกะเป็นประตู คนส่วนมากก็เช่นกันที่เขามักจะเร่งร้อนเพื่อที่จะข้ามไปสู่การสรุปความที่เกี่ยววรรณคดีของพระวจนะโดยปราศจากการคิดพิจารณาของคำพูดที่เขียน บริบท ประเพณี อย่างระมัดระวัง เมื่อพระวจนะหรือข้อความในพระคัมภีร์มีความหมายที่แปลออกมาเป็นตามสัญลักษณ์ หรืออุปมาอุปมัย สิ่งนี้เป็นทั้งที่เห็นได้เด่นชัดจากบริบทและเราได้ถูกเล่ามาว่าอย่างนั้นเป็นที่แน่นอนว่านักศาสนศาสตร์ที่ตีความหมายได้อย่างแท้จริงได้กล่าวอ้างว่าการรับใช้ในการทรงสร้างเป็นการแบ่งแยก ในการอ้างนั้นพวกเขามั่นใจว่าถูกต้องความจริงแบ่งแยกได้ตลอดเวลา เหมือนที่พระเยซูคริสต์ได้กล่าวว่า พระองค์ได้มากับดาบเพื่อที่จะแบ่งแยก “ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี ” (มัทธิว ١٠.٣٥ ) มีสถานการณ์ที่คุณรู้เกิดขึ้นกี่ครั้งในที่ซึ่งความสัมพันธ์ได้เกิดแตกหักเพราะว่ามีแรงต้านระหว่างการมีชีวิตอยู่แบบคริสเตียนและกับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ? มีการประนีประนอมที่ได้เกิดขึ้นบ่อยกับการที่คริสเตียนได้ถ่อมลงเพื่อเห็นแก่ความสันติและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พระเยซูคริสต์ได้ทำนายไว้ใน ลูกกา ١٢.٥١ ว่า “ท่านทั้งหลายคิดว่า เรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ เราบอกท่านว่า มิใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก ” และยอห์น ٧.١٢ “และประชาชนก็ซุบซิบกันถึงพระองค์เป็นอันมาก บางคนว่า "เขาเป็นคนดี" คนอื่นๆว่า "มิใช่ แต่เขาหลอกลวงประชาชนต่างหาก" ”

จากมุมมองในแง่ปฏิบัติผมได้พบว่านักเรียนไม่ต้องการที่จะให้ใครบางคนบอกพวกเขาว่าพระคัมภีร์เต็มไปด้วยข้อผิดหรือว่าพวกเขาไม่สามารถเชื่อได้ พวกเขาต้องการได้ยินว่ามีคำตอบและพวกเขาสามารถรู้ได้อย่างแท้จริง

ในเช้าวันหนึ่งคุณแม่ได้บอกผมว่าลูกสาวของแม่อยู่ในชั้นเรียนที่ผมได้พูดที่โรงของถ้องถิ่นว่า ลูกสาวได้บอกคุณแม่ว่าสิ่งที่ได้เป็นที่ประทับใจนักเรียนอย่างมากกว่าสิ่งอื่นใดจากความจริงที่ว่าผมได้พูดด้วนสิทธิอำนาจเช่นนั้น พวกเขาประทับใจที่ว่าผมไม่ได้มีคำถามในพระวจนะของพระเจ้าแต่ก็ได้ยอมรับทั้งหมด สิ่งนี้ได้เตือนทรงจำผมจากพระคัมภีร์ว่า “ดังนั้นพระเยซูจึงทรงประกาศขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหารว่า "ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน แต่เรามิได้มาตามลำพังเราเอง แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นทรงสัตย์จริง แต่ท่านทั้งหลายไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ได้ทรงใช้เรามา" “ (มัทธิว ٧.٢٨-٢٩) พระเยซูคริสต์เป็นผู้มี่มีสิทธิอำนาจและไม่เหมือนกับอำนาจของพวกธรรมาอาจารย์และพระองค์มีหลักคำสอนในทุกๆทาง พระองค์ได้ตรัสว่า พระองค์ไม่ได้เทศนาให้เป็นหลากหลายหนทางในการเข้าสู่สวรรค์ พระองค์ไม่ได้มาและตรัสว่าพระองค์เชื่อว่าพระองค์เป็นทางเดียวเท่านั้นที่ไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พระเยซูจรัสว่า “พระองค์เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น ١٤.٦) ผมไม่ได้คิดว่าพระเยซูคริสต์คงจะถูกยอมรับในหลายๆคริสตจักรทุกวันนี้ถ้าพระองค์ได้เทศนา พระองค์เป็นผู้ที่มาแบ่งแยก! สิ่งนี้เป็นความแตกต่างเล็กน้อย ٢٠٠٠ ปีมาแล้วพวกเราเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ผู้ซึ่งได้สวมทับร่างของพระเยซูคริสต์บนโลกทุกวันนี้เพื่อที่จะประกาศความจริงในกรณีที่เราเป็นผู้ที่แบ่งแยกใช่หรือไม่?

ผมได้พูดกับกลุ่มอนุชนในโบสถ์เกี่ยวกับความสำคัญของพระคัมภีร์ปฐมกาล ผมได้แปลกใจว่าผู้นำกลุ่มอนุชนผู้ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นได้บอกกับพวกอนุชนว่าเขามีความผิดหวังอย่างไรที่มองว่าพระคัมภีร์ด้อยไป เขาได้พูดว่าผมได้พยายามที่จะสวมทับพระคัมภีร์ที่สมบูรณ์ต่อพระเจ้าและความไม่พอเพียงในการมองพรวจนะพระเจ้า ในอีกทางหนึ่งพวกเขาได้เตรียมที่จะยอมรับว่ามีข้อผิดและปัญหามากในพระคัมภีร์ นี่เป็นการนำไปสู้มุมมองที่สูงของพระคัมภีร์ หลังการการสนทนานี้ผมตัดสินใจว่าคำเหล่านี้ไร้ความหมายสำหรับบุคคลเช่นนี้

พวกคนส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เป็นคริสเตียนรุ่นหนุ่ม ได้แสนอแนะความเห็นต่อการขาดการสอนที่มีมีสิทธิอำนาจ สิ่งนี้เป็นข้อบ่งชี้ที่น่าเศร้าในคริสตจักรของเรา พวกเขาได้สอนอะไรแก่ผู้คนทั่วไป?

บทที่ ٨ ความชั่วร้ายของวิวัฒนาการ

แผนภูมินี้และการสรุปการเสนอแนะที่ได้ไกลไปมากสิ่งที่ได้กล่าวไว้แล้ว

Evils of Evolution

ถ้าคุณยอมรับความเชื่อในพระเจ้าในฐานะที่เป็นผู้สร้างแล้วคุณจะยอมรับว่ามีกฎบัญญัติ เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ให้ธรรมบัญญัติ เป็นธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่สะท้อนถึงลักษณะอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์มีอำนาจที่สมบูรณ์และมนุษย์เราก็อยู่ภายใต้ภาระของพระองค์ ธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นเนื้อหาสาระสำหรับความเห็นของเราแต่ได้ให้กำเกณฑ์โดยผู้หนึ่งผู้ที่มีสิทธิในการกำหนดสิ่งทั้งหลายให้กับเราสำหรับการดีของเราและสง่าราศีของพระองค์เองพระองค์ทรงให้หลักการแก่เราที่เป็นฐานรากสำหรับการสร้างความคิดของเราในทุกๆด้าน การยอมรับการทรงสร้างของพระเจ้าได้บอกเราว่าชีวิตคืออะไรและเกี่ยวข้องกับอะไรบ้างเรารู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้ชีวิต ชีวิตนั้นมีความหมายและมีจุดประสงค์และนั้นคือมนุษย์ทั้งมวลได้ถูกสร้างตามพระฉายของพระเจ้าด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีคุณค่าและมีความสำคัญ พระเจ้าสร้างเรามาก็เพื่อพระองค์จะได้มีความสัมพันธ์กับเรา รักเราและให้พรที่มาจากพระองค์แก่เราและเพื่อว่าเราควรจะรักพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา

ในอีกทางหนึ่งถ้าคุณปฎิเสธพระเข้าและแทนที่พระองค์ด้วยความเชื่ออื่นที่ใส่โอกาสและกระบวนการเชิงสุ่มในที่ของพระเจ้า ไม่มีรากฐานสำหรับความถูกหรือผิด กฎเกณฑ์ต่างๆกลายเป็นสิ่งที่คุณต้องการหรือสร้างขึ้นมาเอง ไม่มีความสมบูรณ์ ไม่มีหลักการที่ต้องยึดติด ทุกคนสามารถเขียนกฎของตนเองได้

สิ่งนี้ต้องเข้าใจว่าโลกทรรศน์ของเราเป็นผลกระทบที่ไม่สามารถหลักเลี่ยงได้ในสิ่งที่เราเชื่อโดยเกี่ยวข้องกับจุดกำเนิดและหนทางชีวิตเบื้องหน้า โดยที่รากฐานการทรงสร้างได้ถูกเอาออกไปเราได้เห็นสถาบันที่เหมือนอย่างพระเจ้าได้เริ่มที่จะล้มลง ในอีกทางหนึ่งรากฐานของวิวัฒนาการยังคงมั่นคง โครงสร้างที่ได้ก่อร่างบนรากฐานคือ---ความไร้ศีลธรรม รักร่วมเพศ การทำแท้ง...ได้เพิ่มขึ้นในเชิงตรรกะ เราจะต้องเข้าใจการเชื่อมโยงเหล่านี้

คริสเตียนส่วนมากจำได้ว่าการสลายตัวได้เกิดขึ้นในวิทยาศาสตร์ พวกเขาเห็นจริยธรรมคริสเตียนได้ล้มลงและการเพิ่มขึ้นในปรัชญาการต่อต้านพระเจ้าพวกเขาตระหนักอย่างดีถึงการเพิ่มขึ้นของ ความไร้ศีลธรรม การรักร่วมเพศ ปรัชญา แต่พวกสูญเสียที่จะรู้ทำไมสิ่งนี้ได้เกิดขึ้น เหตุผลพวกเขาอยู่ในปัญหาโดยที่เขาไม่เข้าใจเนื้อหาพื้นฐานของสงครามอันนี้การทรงสร้างกับวิวัฒนาการเป็นเรื่องที่อยู่บนเส้นต่ำสุด

ถ้าคุณพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าวิวัฒนาการได้เกี่ยวพันกับประเด็นดังกล่าวนี้ การวิจัยพื้นฐานบางอย่างในประวัติศาสตร์จะแสดงการเชื่อมโยงอย่างชัดเจน ตามจริง ผมยังไม่ได้พบกับนักวิวัฒนาการทั่วๆไปผู้ซึ่งไม่ได้เห็นด้วยกับผมในเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของวิวัฒนาการต่อประเด็นเฉพาะทางศีลธรรม พวกเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับการที่ว่าสิ่งนี้ควรเกิดขึ้นแต่เขาได้เห็นด้วยที่ว่านี่เป็นทางในที่ซึ่งคนทั้งหลายได้ประยุกต์ทฤษฎีวิวัฒนาการนี่เป็นความสำคัญที่ว่าคุณไม่ได้เข้าใจผิดว่าผมกำลังกล่าวถึงอะไร ณ.จุดนี้ แน่นอนความบาปและปรัชญาการต่อต้านพระเจ้าเกิดขึ้นก่อนทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลดาวิน คนส่วนมากได้รีดลูกของตนออกก่อนที่มุมมองชองชาร์ลดาวินได้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย อย่างไรก็ตามสิ่งที่คนส่วนมากเชื่อเกี่ยวกับว่าเขามาจากไหนซึ่งกระทบต่อโลกทรรศน์ของพวกเขา เมื่อคนส่วนมากปฎิเสธการทรงสร้างของพระเจ้า สิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อการมองตัวมนุษย์เอง คนอื่นๆ และ โลกที่ที่เราอาศัยอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชาติตะวันตกในที่ซึ่งครั้งหนึ่งจริยธรรมคริสเตียนเป็นที่ชื่นชอบ วิวัฒนาการของดาร์วินได้ให้การตัดสินต่อคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าและได้ทำสิ่งเหล่านั้นที่คริสเตียนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ผิด ตามที่มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ “ ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินช่วยทำให้ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าน่านับถือ”

เรากำลังคิดถึงด้านหลายด้านที่ทฤษฎีวิวัฒนาการได้เคยใช้ในการตัดสินท่าทีและการกระทำของคนทั่วไป นี่ไม่ได้หมายความว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นเหตุให้ท่าทีหรือการกระทำเหล่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นคนต่างๆก็ได้เคยใช้เพื่อตัดสินในการสร้างปรัชญาที่น่าเคารพนับถือในสายตาของเขา สิ่งเหล่านี้ได้ครอบคลุมในราบละเอียดและเอกสารอีกมากในหนังสือของ ดร เฮนรี่ มอร์ริส Creation and the Modern Christian

  1. ลัทธินาซีกับวิวัฒนาการ

มีการเขียนมากมายในเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่อยู่ในลัทธิฟาร์สซิส ชื่อว่า อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ การกระทำของเขาต่อพวกยิวอาจเป็นคุณสมบัติของเขา อย่างน้อยที่สุดในส่วนหนึ่งเขามีความเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ พี ฮอร์ฟแมน ในHitler’s Personal Securiity กล่าวว่า “ฮิตเลอร์เชื่อในการดิ้นรนต่อสู้ตามหลักการของดาร์วิน ที่เกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ที่ซึ่งบังคับคนทุกคน เพื่อที่จะครอบครองคนอื่นๆ ปราศจากการดิ้นรนต่อสู้พวกเขาจะเหี่ยวและตายไป แม้ว่าในการโจมตีของเขาใน เดือนเมษายน ١٩٤٥ ฮิตเลอร์แสดงความเชื่อของเขาในการมีชีวิตรอดของการแข็งแรงกว่าและประกาศคนที่เป็นทาสเพื่อพิสูจน์พวกเขาเองว่าแข็งแรงกว่า

” เซอร์อาร์เชอร์คิท เป็นนักวิวัฒนาการที่มีคนรู้จักกันแพร่หลายได้อธิบายว่าฮิตเลอร์ได้ยึดถือในสิ่งที่เขาได้กระทำกับพวกยิว-เขาได้ประยุกต์ใช้หลักการของทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ในทฤษฎีวิวัฒนาการและจริยธรรม เขาได้กล่าวว่า “ เพื่อให้เห็นการวัดทางการวิวัฒนาการและศีลธรรมได้ใช้ความแข็งแกร่งต่อกิจการของชาติที่ทันสมัยยิ่งใหญ่ เราจะต้องหันกลับไปสู่ประเทศเยอรมันใยปี١٩٤٢ เราเห็นว่าฮิตเลอร์ได้ชักนำอย่างเร่งร้อนว่าวิวัฒนาการทำให้เกิดผลผลิตเพียงพื้นฐานที่แท้จริงสำหรับมนุษยชาติ... ...วิธีที่เขาได้รับมาเพื่อรักษาหนทางแห่งชีวิตแห่งชนชาติและประชาชนเป็นการทำการจัดการฆ่าซึ่งได้ทำให้ยุโรปนองเลือด..” การกระทำเช่นนั้นเป็นการไร้ศีลธรรมในระดับที่สูงของจริยธรรม ที่เยอรมนีได้สร้างความชอบธรรมขึ้นมาและการการเพิ่มความน่าเชื่อถือไปพร้อมกับการวิวัฒนาการ เยอรมนีได้หันกลับไปสู่ยุคชนเผ่าในอดีตและก็ตัดสินโลกด้วยความดุร้าย ที่เป็นวิธีของทฤษฎีวิวัฒนาการ

٢ การเหยียดเชื้อชาติ และ วิวัฒนาการ

สตีเฟน เจ โกลด์ ใน Natural History (April 1980 sohk 144) ได้กล่าวว่า การกระจายพันธุ์(ทฤษฎีวิวัฒนาการที่ได้ตั้งสมมติฐานว่าการพัฒนาการของไข่ในรังไข่ของแม่ เป็นการเข้าสู่ขั้นตอนของวิวัฒนาการ เช่นการพัฒนาการของไข่ปลา เป็นต้น จนกระทั่งกลายเป็นมนุษย์ ) ได้มีแรงที่สมดุลย์ที่ทำให้การเหยีอดขนขาติได้แพร่กระจายโดยนักวิทยาศาสตร์ พวกเขาได้มองไปที่กิจกรรมของลูกหลานของเขาในการเปรียบเทียบทางศีลธรรม ความประพฤติของผู้ใหญ่ที่เผ่าพันธุ์ที่ต่ำ โกลด์ได้สรุปคำว่า “มองโกลอย” เพราะว่าคำที่มีความหมายเหมือนกันกับคนที่มีความบกพร่องทางสมองเพราะเขาเชื่อว่าเผ่าพันธุ์คอเคซัสได้มีการพัฒนาอย่างมากกว่าพวกมองโกลลอย? ดังนั้นความคิดบางอย่างที่ว่าเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองได้ถูกละทิ้งในระยะแรกๆของวิวัฒนาการ ผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ ชาวอเมริกัน.ในครึ่งแรกจองศตวรรษที่ ٢٠ชื่อว่า เฮนรี่ แฟร์ชาย ออสบอน ได้ใส่เชื้อเพลิงเข้าไปในไฟด้วยความเชื่อของเขาที่ว่า “พวกนีกรอย สต็อก เป็นพวกที่อยู่ในยุคโบราณเก่ากว่าพวก คอร์เคเชี่ยนและมองโกลเลี่ยน... มาตรฐานความฉลาดโดยเฉลี่ยของพวกนิโกรที่เป็นผู้ใหญ่เทียบเท่ากับเด็กอายุ ١١ ปี ที่เป็นเด็กโฮโมซาเปียนพิเศษ”

ผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศออสเตรเลียยุคแรกๆได้คิดว่าพวกออสเตรเลียนที่อาศัยอยู่ดั้งเดิมมีความฉลาดน้อยกว่า “ชาวผิวขาว” เพราะว่าพวกที่อาศัยอยู่ก่อนดั้งเดิมไม่ได้มีการวิวัฒนาการไปไกลมากกว่าพวกผิวขาว ตามความจริงพิพิธภัณฑ์โฮเบิร์ทในทัชเมเนีย(ออสเตรเลีย) ในปี١٩٨٤ที่ได้จดบันทึกไว้นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมพวกผิวขาวที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในยุดแรกๆไก้ฆ่าพวกที่อาศัยอยู่ดั้งเดิมอย่างมาก ในปี ١٩٢٤ หนังสือพิมพ์ นิวยอร์คทรีบูน(ฉบับวันอาทิตย์ที่ ١٠ กุมภาพันธ์ ) ได้พิมพ์บทความที่บอกแก่ผู้อ่านว่าได้พบว่าการปฏิสัมพันธ์กันได้ขาดหายไปในชาวออสเตรเลีย ปฏิสัมพันธ์ที่ขาดหายไปนี้ได้อ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับขนเผ่าดั้งเดิมกับชาว ทัสมาเนีย

สิ่งที่เหลือเชื่อคือว่าเราได้อาศัยอยู่ในสังคมที่บอกว่าต้องการกำจัดทัศนคติเกี่ยวกับเชื้อชาติเราก็ยังมีเงื่อนไขต่อทัศนคติเกี่ยวกับเชื้อชาติโดยระบบการศึกษาหลายรูปแบบของเราและมีรากฐานทั้งปวงสำหรับเข้าถึงเชื้อชาติของจิตใจของมนุษย์

สิ่งที่ได้เป็นมุมมองวิวัฒนาการได้ขวนเชื่อให้แก่นักมนุษย์วิทยาที่ได้มีความแตกต่างของเชื้อชาติ แตกต่างในระดับของความฉลาดและความสามารถ สิ่งนี้เป็นมุมมองของคริสเตียนที่ว่าครูมีเชื้อสายหนึ่ง(ในอารมณ์ที่ว่าเราทั้งหลายมาจากมนุษย์สองคนเหมือนกันและ ฉะนั้นเราจึงไม่มีกลุ่มที่วิวัฒนาการอีกต่อไป) และนั่นคือมนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน

ณ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งครูได้กล่าวแก่นักเรียนว่านักเรียนของเธอว่าถ้าความฉลาดของสัตว์โลกได้วิวัฒนาการไปสู่คนทั่วไปแล้วสิ่งนี้ก็เห็นว่าเกิดขึ้นได้ในปัจจุบัน นักเรียนบางคนได้บอกกับครูของเธอว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปัจจุบันเพราะว่าคนที่อาศัยอยู่ดั้งเดิมบางคนเป็นพวกแรกๆและดังนั้น ยังคงมีวิวัฒนาการ ที่น่าเสียใจคือว่าในสายตาของพวกเด็กๆการสอนการวิวัฒนาการได้มีการขับไล่ชนเผ่าดั้งเดิมชาวออสเตรเลียลงไปในระดับต่ำกว่ามนุษย์

٣ ยาเสพติดกับวิวัฒนาการ

คนส่วนมากไม่ได้คิดถึงวิวัฒนาการในทึกทางที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อย่างไรก็ตามจดหมายต่อไปนี้ได้เขียนคำพยานของชายคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเสพยาเสพติดได้แสดงถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจน

ณ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งทฤษฎีของการวิวัฒนาการได้ถูกนำเสนอในวิถีทางที่ว่าไม่มีใครในพวกเราเคยสงสัยว่าเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนคริสเตียน เรื่องราวที่เกี่ยวกับทางพระคัมภีร์ของการทรงสร้างโลกได้ถูกเสนอในลักษณะของ

นวนิยายโรแมนติค ไม่ได้ตั้งใจที่จะสอนให้มีความหมายที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า มนุษย์หรือจักรวาล ผลที่ไดรับคือผมแน่ใจว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์และก็ยังมีการปฏิบัติที่ไม่มากหรือไม่ได้ใช้เลย

สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมที่ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น—หลักการที่มีลายส่วนในสมองของคนบางคน—และผมเสียใจที่จะพูดว่าผมไม่ได้มีความสนใจเพียงพอที่จะไปตรวจสอบสิ่งที่เรียกกันว่า” ความจริง” สำหรับตัวผมเอง ผมมั่นใจว่าความเชื่อถือของคนได้มีเช่นนั้นแล้ว

หลังจากที่ผมได้ออกจากโรงเรียน vผมได้เริ่มจ้นการปฏิบัติตามข้อสมมติฐานและข้อสมมติฐานก่อน ผมได้เลือกวัยเด็ก ความไร้เดียงสาเชื่อว่าในการวิวัฒนาการมี ผลที่ได้จากการปฏิบัติอย่างมีความสำคัญ ٣ ประการ

١.สิ่งที่ได้หนุนใจผมอย่างมากต่อการมองไปที่ยาเสพติดที่เป็นแหล่งที่เป็นที่ปลอบประโลมและการคิดสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยม

٢.สิ่งที่ทำให้ผมสรุปได้ว่าพระเจ้าที่ ถ้าพระองค์ได้อยู่รอบๆ เป็นระยะทางไกลและเป็นรูปร่างที่ไม่เป็นบุคคลได้แยกจากความเป็นมนุษย์โดยระยะทางของช่องว่างและเวลาที่กว้างมาก

٣.ถ้าผมได้ถูกนำไปที่ถูกแยกออกไปมากขึ้นมากขึ้นจากคุณค่าปกติ ที่ผมได้ถูกสอนที่บ้านเพราะว่าเมื่อมนุษย์ได้ถูกมองว่าเป็นการอ้างอิงโดย ผลของเวลา บวกกับ สสารบวกกับโอกาส ไม่มีเหตุผลทางตรรกศาสตร์สำหรับการกระทำระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในความประสงค์แห่งศักดิ์ศรีและความเคารพนับถือ เพราะว่าในหลักการพวกเขาไม่มีความแตกต่างจากสัตว์ ต้นไม้ พืช จากที่ซึ่งได้มาอย่างสมมติ

ผมต้องการที่จะตั้งต้นบนจุดหนึ่งคือความซื่อสัตย์ที่ยิ่งใหญ่ของยาเสพติด กล่าวคือผมได้มีผลของการโน้มน้าวให้เชื่อว่าวิวัฒนาการถูกต้อง หลังจากที่กำลังออกจากโรงเรียนผมได้เพิ่มการยอมรับในยาเสพติดมากขึ้นๆการเสพยาเสพติดดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะว่าในหลักการสิ่งนี้ได้เหมาะกับสิ่งที่ผมได้รับการสอนเกี่ยวกับธรรมชาติและจุดกำเนิดของมนุษย์ “จากปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้เราเกิดมาและในปฏิกิริยาก็ทำให้เรากลับไป” และผมก็เป็นเช่นนั้น

ความศรัทธาในยาเสพติดของผมเป็นแหล่งของการปลอบประโลมและการสร้างสรรค์ ได้มีการที่ไม่สามารถทำให้แตกหักได้แม้แต่หลังจาก ١٠ ปีของการทำลายราบเป็นหน้ากลองทั้งหมด ระหว่างที่งาน บุคคลิกส่วนตัว และ มิตรภาพได้ล้มหายจากไป แม้ว่าหลังจากที่ผมได้มาเป็นคริสเตียน ผมยังคงเสพยาเสพติดหรือรู้สึกเข้มแข็งจากฤทธิ์ของยาจนกระทั่งคริสเตียนบางคนได้ชี้ความจริงเกี่ยวกับ ธรรมชาติ จุดกำเนิด ปลายทางชีวิตดังที่ได้กล่าวไว้ในพระธรรมปฐมกาล สิ่งนี้เป็นเพียงเมื่อผมได้รับความจริงของสิ่งนี้ซึ่งความรักส่วนตัวในยาเสพติดของผมเป็นอย่างสมบูรณ์และละทิ้งอย่างจงใจ ขณะนี้ผมได้รู้ว่าความหวังของผมอยู่ในสภาพบุคคลในองค์พระเยซูคริสต์ และในพระองค์เท่านั้น สิ่งนี้ไม่เป็นความซ้ำซากอีกต่อไป แต่อาศัยอยู่ในเรื่องความจริง ผมมีอิสระและเป็นความจริงที่ซึ่งทำให้ผมมีอิสระจากการขับไล่ความศรัทธาที่ครั้งหนึ่งผมมีต่อสารเคมีตามผลของความเชื่อในการพูดปด-ทฤษฎีที่เชื่อถือไม่ได้ คือวิวัฒนาการ ผมขอวิงวอนต่อผู้ปกครอง พ่อแม่ทั้งหลายและครูบา อาจารย์ ในการสำรวจใหม่อีกครั้งหนึ่งในพยานหลักฐานตามที่ผมมี”

٤ การทำแท้งและวิวัฒนาการ

คนส่วนมากจะจำได้ว่าได้รับการสอนจากโรงเรียนว่าตามที่รังไข่ได้พัฒนาในมอลูกของแม่มัน และขั้นตอนริวัฒนาการจนกระทั่งมันได้กลายเป็นมนุษย์ ในอีกทางหนึ่งความคิดที่ว่าตามที่ไข่ได้พัฒนามันก็ผ่านขั้นตอนวิวัฒนาการทั้งหมดเป็นการสะท้อนบรรพบุรุษของมัน ทฤษฎีของ “การสรุป การเกิด จากไข่”ได้นำเสนอครั้งแรกโดย เออร์เนท เฮคเคล มีคนไม่มากที่ตระหนักว่าทฤษฎีทั้งหมดนี้เป็นการตั้งใจที่จะลวงให้เข้าใจผิด “ แต่คงเป็นความจริงที่ว่าในความพยายามที่พิสูจน์กฎของเขา เฮคเคล ได้จัดอนุกรมของการบิดเบือนและความไม่ซื่อสัตย์ เป็นความไม่รุนแรง เพราะ เฮคเคลอ้างถึงสิ่งที่เขาหามาจากการวาดภาพของเขาโดยไม่มีการบอกถึงสิ่งที่เขาเปลี่ยนแปลง”

ท้ายที่สุด เออร์เนท เฮคเคลได้ยอมรับการผิดพลาดนี้ แต่ประเด็นที่น่าตำหนิคือทฤษฎีนี้ยังคงใช้สอนในหลายมหาวิทยาลัย โรงเรียนและวิทยาลัยทั่วโลก นักวิวัฒนาการที่ยอมรับได้ผู้ที่ได้เก็บรักษางานการเขียนยุคหลังๆนี้รู้ว่ามุมมองเช่นนี้ไม่ถูกต้องและการละเว้นการสอนสิ่งเหล่านี้ในชั้นเรียน อย่างไรก็ตามในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงส่วนมากหนังสืออ่านวิชาการและหนังสือในชั้นเรียนมีมุมมองที่ยังคงจัดพิมพ์ในหลากหลายรูปแบบ บ่อยครั้งที่มีเล่ห์เหลี่ยม

ตามที่คนทั่วไปยอมรับว่าการพัฒนาของเด็กในครรภ์มารดาเป็นเพียงสัตว์ที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการของบรรพบุรุษของมันนี่เป็นปัญหาที่น้อยลงน้อยลงเกี่ยวกับการทำลายมัน ตามความคิดของทฤษฎีวิวัฒนาการได้เป็นที่ยอมรัยกันมาก และเป็นการง่ายที่จะกลายเป็นการยอมรับการทำแท้ง ความจริงมีว่าคลีนิคการทำแท้งบางแห่งในอเมริกาได้แยกผู้หญิงออกมาแล้วอธิบายแก่ผู้หญิงเหล่านั้นว่าอะไรกำลังถูกทำแท้งเป็นเพียงไข่ในขั้นตอนแรกของวิวัฒนาการและไข่นั้นก็ไม่คิดว่าเป็นมนุษย์ ผู้หญิงเหล่านั้นก็ได้รับการบอกที่ไม่เป็นความจริง

อีกครั้งหนึ่งขอให้ผมได้กล่าวที่นี่ว่าการทำแท้งที่แท้จริงมีอยู่อย่างแน่นอนก่อนที่ดาร์วินจะเผยแพร่ทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการของเขาได้เคยให้การทำแท้งเป็นที่น่านับถือและนั่นคือสิ่งที่เราเห็นการทำแท้งเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบันนี้

٥ วิธีการทางธุรกิจกับวิวัฒนาการ

ในช่วงปลายครึ่งหลังของศตวรรษที่ ١٩ มีปรัชญาที่แพร่หลายรู้จักกันชื่อ “social Darwinism” ได้ลดความคิดของยุคนักอุตสาหกรรมที่มีอิทธิพลและร่ำรวยมาก เขาเชื่อสิ่งนี้เพราะว่าวิวัฒนาการได้เป็นจริงในโลกของชีววิทยา วิธีการเดียวกันควรนำมาใช้ในโลกของธุรกิจการแข่งขันเพื่อความอยู่รอด การกำจักจุดอ่อน ไม่มีความรักต่อคนยากจน ในปี ١٩٨٥

ธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศออสเตรเลีย(The National Australia Bank) ในนิตยสารสื่อสาร ที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการกับอีกธนาคารหนึ่ง ได้ใช้หลักการของ ดาร์วิเนียนของการอยู่รอดกับการตัดสินผู้ที่จะเข้ามารวมกิจการ มีตัวอย่างอื่นๆอีกมากในประวัติศาสตร์ของนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงผู้ซึ่งยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการและได้ประยุกต์ใช้ในแวดวงธุรกิจ

Created/Evolved

٦ ลัทธิหลงตัวเองของผู้ชายกับวิวัฒนาการ

คนส่วนมากพยายามที่ตำหนิพวกคริสเตียนในการมีทัศนคติเพศชายนิยมที่ได้เกิดขึ้นในสังคมของเรา พวกเขาได้อ้างจากพระคัมภีร์โดยอ้างว่าพระคัมภีร์สอนว่าผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิงนี่คือผู้หญิงไม่เท่าเทียมกับผู้ชาย ที่จริงแล้วสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง พระคัมภีร์สอนว่าผู้ชายและผู้หญิงเท่าเทียมกันแต่พวกเขามีบทบาทที่แตกต่างกันเพราะว่าวิถีทางพระเจ้าเป็นการสร้างผู้ชาย และผู้หญิงแต่เพราะการตอบสนองจ่อการล่อลวงของงู(١ ทธ٢.١٢-١٤) อีเวลเลน ริชาร์ดซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์แนวใหม่กล่าวว่า “ในช่วงเวลาที่ผู้หญิงเริ่มต้นต้องการออกเสียง ศึกษาในระดับสูง และสมัครเข้าสู่สาขาวิชาชีพระดับกลาง สิ่งนี้ได้ปลอบประโลมเพื่อที่จะรู้ว่าผู้หญิงไม่เคยทำอะไรได้ดีกว่าผู้ชาย ดาร์วิเนียนใหม่ทางวิทยาศาสตร์ได้รับประกันสิ่งนี้” เธอได้เขียนในบทความต่อไปว่า “...การเสริมสร้างวิวัฒนาการที่ว่าเนื้อหาที่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับการ ก้าวร้าว อาณาเขต การไล่ล่า ผู้ชาย และ การขับไล่ผู้หญิงให้ยอมเชื่อฟัง และส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการวิวัฒนาการ ” ในอีกด้านหนึ่ง บางคนได้ใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการดาร์วิเนียนเพื่อตัดสินว่าผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชาย อย่างไรก็ตามมีคนเหล่านั้นที่เป็นผู้สนับสนุนสตรีว่าเป็นผู้ที่เหนือกว่า แม้แต่คนเหล่านั้นที่ใช้วิวัฒนาการเพื่อที่ตัดสินสิทธิของเด็ก เมื่อคุณคิดถึงสิ่งเหล่านี้ทฤษฎีใดๆที่ตัดสินทั้งผู้ชายและผู้หญิง สุดยอดแห่งการตัดสินคือไม่ได้ตัดสินทั้งสองเลย

Evolution/Creation

คริสเตียนที่เป็นผู้หญิงจำเป็นต้องตระหนักว่าการเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนผู้หญิงที่รุนแรงได้ขยายวงกว่างโดยนักปรัชญาวิวัฒนาการ คริสเตียนที่เป็นผู้หญิงจำเป็นต้องตื่นตัวและต้องไม่ถูกล่อลวงโดยการเคลื่อนไหวเช่นนั้นที่ต่อต้านพระเจ้า หนังสือทั้งเล่มได้ถูกเขียนเกี่ยวกับการตัดสินชองความชั่วร้ายที่เราได้เห็นในปัจจุบันนี้จากการยอมรับที่เป็นพื้นฐานของปรัชญาวิวัฒนาการ แต่ ณ.ขั้นตอนนี้มนุษย์ก็ได้เริ่มการพูดกับผมว่า “คุณตำหนิทฤษฎีวิวัฒนาการสำหรับความชั่วร้ายในสังคมทั้งหมดหรือ?” คำตอบของผมคือ “ใช่และไม่ใช่” ไม่ใช่---เพราะสิ่งนี้ไม่ได้เป็นวิวัฒนาการมาก่อนที่สิ่งนี้ต้องตำหนิ แต่การปฎิเสธพระเจ้าในฐานะผู้สร้างต่างหาก ตามที่มนุษย์ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างและก็ไม่ยอมรับกฎของพระองค์พวกเขาก็ละทิ้งจริยธรรมคริสเตียนและก็ยอมรับลัทธิความเห็นของตนเอง ใช่---เพราะว่าในความรู้สึกสำนึกที่แท้จริงการตัดสินคนทั่วไปในเรื่องที่เขาปฎิเสธพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างเป็นสิ่งที่เรียนกันโดยทั่วไปว่า “ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์” ในการมองวิวัฒนาการ วิวัฒนาการเป็นการตัดสินหลักในปัจจุบันนี้เพื่อที่จะปฏิเสธความเชื่อในการทรงสร้างของพระเจ้า

การพรรณนาต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ผมชอบและสรุปได้อย่างสวยงามว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร บนทางซ้ายเราเห็นรากฐานของวิวัฒนาการ ปราสาทได้สร้างบนสิ่งหนึ่งที่ให้ชื่อว่า “มนุษย์นิยม” ประกอบด้วยกันกับโครงสร้างที่เปิดประเด็นที่เราได้อภิปรายกัน บนทางขวาเราได้เห็นรากฐานของการทรงสร้างและได้มีปราสาทที่สร้างและให้ชื่อว่า “พวกคริสเตียน” ต่อมาส่วนที่เป็นรากฐานล้มลงโครงสร้างก็เริ่มล้มลง อย่างไรก็ตามบนโครงสร้างของคริสเตียนหลักคำสวนได้มีจุดมุ่งหมายซึ่งกันและกัน หรือ ไม่มีจุดมุ่งหมาย หรือมุ่งไปสู่ประเด็นมนุษย์นิยม แต่ที่แน่ไม่ได้มุ่งไปสู่วิวัฒนาการ พวกคริสเตียนกำลังต่อสู้กับสงครามแต่พวก

คริสเตียนไม่รู้ว่าจะสู้อย่างไรหรือใช้ปืนชี้ไปอย่างไร นี่เป็นปัญหาจริงถ้าเราต้องการเห็นโครงสร้างของมนุษย์นิยมล้มลง(ซึ่งคริสเตียนคนใดๆต้องคิดเช่นนี้)แล้วเราจำเป็นต้องเล็งทิศหลักการในทางใหม่ไปที่รากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสิ่งนี้เป็นเพียงเมื่อรากฐานได้ถูกทำลายซึ่งโครงสร้างก็ล้มลง

คุณจะสังเกตว่าหลักการหนึ่งได้มุ่งประเด็นไปที่การเป็นตัวแทนมนุษย์นิยมที่เป็นลูกบอลลูน นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คริสเตียนจะต้องคิดพิจารณาอย่างระมัดระวัง คนส่วนมากอาจเห็นด้วยที่จะต่อสู้ต่อประเด็นเช่นการทำแท้ง การมีเพศสัมพันธ์อย่างผิดศีลธรรม ภาพโป๊เปลือยและอื่นๆ แต่ถ้าเราโจมตีเพียงแต่ระดับประเด็นเหล่านี้และไม่ได้สร้างแรงจูงใจต่อความนิยมของสิ่งเหล่านั้นเราก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ แม้ว่าถ้ากฎหมายได้ถูกเปลี่ยนไปในสังคมเรานี้ก็เพื่อทำให้การทำแท้งผิดกฎหมายแต่เหตุผลของการทำแท้งได้ถูกยอมรับ(โดยวิวัฒนาการ)แต่ก็ไม่ถูกโจมตีและถูกทำลายในรุ่นหลังต่อมาและเป็นเงื่อนไขต่อวิวัฒนาการและง่ายที่จะเปลี่ยนกฎหมายอีกครั้งหนึ่งถ้าคริสตจักรต้องการทำให้เกิดผลสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนในสังคมเรื่องการทำแท้ง ภาพโป๊ และการรักร่วมเพศ สิ่งนี้ก็จำเป็นต้องต่อสู้กันในระดับรากฐาน ขั้นพื้นฐานของวิวัฒนาการที่จำเป็นต้องถูกทำลายและรากฐานขั้นพื้นฐานของการทรงสร้างจะต้องกลับคืนมาสู่ในที่เหมาะสม

หนทางอีกทางหนึ่งที่ได้สรุปว่าอะไรเกิดขึ้นจะได้เห็นจากการพรรณนาต่อไปนี้

คุณสามารถดูได้จากรูปที่มีเสากระโดงเป็นป้ายเขียนว่า” พวกคริสเตียน” ได้มีเรือ “ ss creation” ได้ถูกยิงโดยตอร์ปิโดของ “ วิวัฒนาการ” จากเรือดำน้ำชื่อว่า “humanity” สังเกตุเรือ “พวกคริสเตียน” พวกคริสเตียนได้มองไปรอบๆและกระตือรือร้นเพื่อค้นหาว่าทำไมเรือกำลังจม พวกเขาได้ช่วยกันวิดน้ำออกจากเรืออย่างหนักแต่เรือก็ได้จมลง ตมลงไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็วกว่าการวิดน้ำออกของพวกคริสเตียน ความผิดพลาดของพวกคริสเตียนวางอยู่บนความไม่ตระหนักในรูปแบบการโจมตีที่คุกคามอยู่ข้างใต้—“พื้นฐานของ”เรือกำลังถูกยิงออกเป็นส่วนเล็กๆ ถึงผู้อ่านที่รัก มีสงครามที่ร้ายแรงเกิดขึ้น เราเป็นทหารของพระราชา สิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบที่จะต่อสู้ต่อกษัตริย์ของกษัตริย์และ เทพของเทพ เราเป็นกองทัพของพระราชา แต่เราได้มีการใช้อาวุธอย่างถูกต้องหรือไม่? เราได้ต่อสู้สงครามที่ที่มีสาระแท้จริงหรือไม่? เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยที่ คริสเตียนส่วนมากได้มีอะไรที่ถูกมองว่าเป็นกองทัพที่มีกลยุทธ์ที่น่าขบขันอย่างสิ้นเชิงคริสเตียนไม่ได้ต่อสู้สงครามที่คลั่งไคล้ พวกคริสเตียนไม่ได้ต่อสู้ในสนามรบที่แท้จริง คริสเตียนไม่มีความหวังใจในการมีชัยชนะ เมื่อไรที่คริสเตียนในประเทศรอบทั้งโลกจะตื่นขึ้นในความจริงที่ว่าเราจำเป็นต้องเล็งอาวุธของเราและก้าวออกไปรุกรานและต่อสู้อย่างจริงจังต่อประเด็นของทฤษฎีวิวัฒนาการโดยการนำพื้นฐานของการทรงสร้างกลับมา?

Ship

ในชาติตะวันตกคริสตจักรส่วนใหญ่มีการประนีประนอมกับทฤษฎีวิวัฒนาการ นักศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่และวิทยาลัยพระคัมภีร์ได้สอนว่าประเด็นข้อถกเถียงระหว่าง การสร้างโลกกับทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร พวกเขาสอนว่าคุณสามารถเชื่อได้ทั้งการทรงสร้างโลกของพระเจ้าในพระคัมภีร์และทฤษฎีวิวัฒนาการเพราะว่าคุณไม่จำเป็นต้องเอาความหมายที่แท้จริงของพระธรรมปฐมกาลไปพัวพัน การยีนกรานที่จะประนีประนอมการช่วยทำลายโดรงสร้างที่เขากล่าวอ้างเพื่อต้องการให้คงอยู่ในสังคม—โครงสร้างของพวกคริสเตียน ในบทที่ ١٠ ได้เป็นการท้าทายทุกคนที่เกี่ยวพันกันในตำแหน่งการอภิบาลศิษย์และการสอนใน

คริสตจักรเพื่อทำให้มีการยืนยันในทางบวกต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างและคัดค้านปรัชญาการต่อต้านพระเจ้าที่กำลังทำลานมนุษย์ชาติ

บทที่ ٩ การประกาศในโลกที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน

มีสงครามกำลังดำเนินอยู่ในสังคม---เป็นสงครามที่แท้จริง สงครามที่เกิดขึ้นระหว่าง พวกคริสเตียนและกลุ่มที่ปฎิเสธพระเจ้าและใช้เหตุผล แต่เราต้องตื่นขึ้นต่อความจริงที่ว่าในระดับพื้นฐาน มันคือการทรงสร้างโลกของพระเจ้าที่แท้จริงกับทฤษฎีวัฒนาการ

อย่างไรก็ตามมีการเห็นพ้องต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเราต้องระลึกได้ว่าศัตรูของเราไม่ใช่นักมนุษย์ที่นิยมเหตุผลและนักวิวัฒนาการในพวกเขาเองแต่เป็นอิทธิหลของความมืดที่ได้ล่อลวงพวกเขาให้หลงทางเราต้องแสดงความกรุณาต่อพวกเขาและให้เขาเห็นอย่างชัดเจนในผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเรา—ในการพูด การเขียน และการกระทำ

เมื่อคริสเตียนเข้าใจธรรมชาติพื้นฐานของสงคราม มันก็เป็นกุญแจที่แก้ให้แก่พวกเขาสำหรับเหตุผลที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม สิ่งนี้เป็นกุญแจที่ไขไปสู่สังคมที่ทำให้เราตะลุมบอนกับศัตรูที่ต่อต้านคริสเตียนที่เพิ่มมากขึ้น

สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเวลาที่นานแล้วที่การทรงสร้างโลกของพระเจ้าทางพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานของสังคมของเรา ทฤษฎีการทรงสร้างของพระเจ้าได้มีการสอนในมหาวิทยาลัยและในหลักสูตรของโรงเรียน คนทั่วไปได้มีการส่งลูกหลานไปเรียนที่โรงเรียนวันอาทิตย์หรือสถานที่ที่สอนอย่างเดียวกัน เพื่อว่าเด็กๆจะได้เรียนความเชื่อของคริสเตียนอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้เป็น

คริสเตียนโดยการเชื่อกฎที่มีพื้นฐานจากพระคัมภีร์ การเบี่ยงเบนทางเพศในทุกด้านเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย การทำแท้งในทุกๆสภาวการณ์เป็นการฆาตกรรม แต่เกิดอะไรขึ้น? ชาร์ล ดาร์วิน

ได้ทำให้ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นที่นิยม (นี่เป็นมุมมองการวิวัฒนาการที่โต้แย้งความจริงที่ได้บันทึกไว้ในการทรงสร้างของพระเจ้า ดาร์วินไม่ได้ให้จุดกำเนิดของวิวัฒนาการ---เขาเพียงแต่นำบางส่วนออกมาทำให้เกิดความนิยม) ทฤษฎีวิวัฒนาการถูกส่งเสริมให้เป็นวิทยาศาสตร์ แต่มันไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์เลย---ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นระบบความเชื่อเกี่ยวกับอดีต คริสตจักรได้เสียการคุ้มกันไปเพราะว่าไม่รู้ว่าจะควบคุมสถานการณ์อย่างไร เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจธรรมชาติความจริงของวิทยาศาสตร์คนทั่วไปส่วนมากเชื่อว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้นมุมมองเช่นนี้ได้เริ่มกำเนิดและทะลุทะลวงไปในสังคม

ความสุนทรีย์ของการวิวัฒนาการเป็นระบบความเชื่อที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้า มนุษย์เป็นผลพวงที่เกิดจากโอกาส ไม่มีใครเป็นเจ้าของตัวเราเราเป็นเจ้าของตัวเราเอง ไม่มีคริสเตียนคนใดที่จะยอมรับความเชื่อนี้ได้อย่างง่ายๆเพราะว่าพระคัมภีร์ได้บอกเราว่ามนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่างและเป็นสัตว์โลกที่มีความบาป (ยอห์น ٣.١٩)

ตามที่เริ่มต้นในบทก่อนหน้านี้มีการปะทะกันที่เราได้เห็นในสังคมของเราปัจจุบันนี้เป็นการปะทะกันระหว่างศาสนาและคริสเตียนด้วยรากฐานการทรงสร้าง(ดังที่เป็นสิ่งที่สมบูรณ์) และศาสนาของการใช้เหตุผลกับรากฐานวิวัฒนาการและสัมพัทธภาพทางศีลธรรมที่กล่าวว่า “สิ่งใดๆ ออกไป” เราจะสามารถทำอะไรกับสิ่งนี้? เราจะต้องเทศนาพระกิตติคุณ! นี่หมายความว่าเราจะต้องสอนเรื่องพระเจ้าเพื่อแน่ใจได้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ให้สง่าราศีโดยพระนามของพระองค์ แต่พระกิตติคุณคืออะไรล่ะ! คนส่วนมากไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริงเนื้อหาทั้งหมดของพระกิตติคุณ ข่าวประเสริฐประกอบด้วย

١.รากฐานของการสอน พระเยซูคริสต์เป็นผู้สร้างและพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ มนุษย์กบฏต่อพระเจ้าและบาปดังนั้นแผนการที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาในโลกนี้ก็เพื่อมนุษย์และสาปแช่งความบาปคือความตาย

٢.อำนาจของข่าวประเสริฐและดะไรเป็นศูนย์กลางของข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์เป็น พระผู้สร้าง ได้เสด็จเข้ามาและทนทุกข์ทรมานจนถึงความมรณาบนไม้กางเขนและพระองค์ได้ฟื้นขึ้นมา(คือการมีชัยชนะเหนือความตาย)มนุษย์สามารถกลับไปสู่ความรักที่สัมพันธ์อย่างสมบูรณ์กับพระเจ้าหลังจากที่ได้ทำผิดในสวนเอเดน

٣.ความหวังของข่าวประเสริฐการทรงสร้างทั้งหมดที่กำลังทนทุกข์ทรมานจากอิทธิพลของบาปและเสื่อมลงอย่างช้าๆทุกสิ่งจะต้องถูกสร้างกลับมาใหม่ (การฟื้นกลับมาใหม่ของทุกสิ่ง) เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาเพื่อทำให้งานของพระองค์สมบูรณ์ของการไถ่บาปและการกลับคืนดี(โคโรสี ١ ٢ เปโตร ٣)

คนส่วนมากใช้ ١ โครินร์ ١٥ เป็นบทพระคัมภีร์ที่นิยามข่าวประเสริฐและอ้างว่าเป็นการพูดถึงการตรึงพระเยซูคริสต์และพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากตาย อย่างไรก็ตามใน ١ โครินร์ ١٥.١٢-١٤ อ.เปาโลได้กล่าวว่า “ขณะนี้ถ้าพระเยซูคริสต์ได้ถูกเทศนาว่าพระองค์ได้ฟื้นจากตายจะพูดบางอย่างอะไรบ้างท่ามกลางพวกคุณที่ไม่มีการฟื้นขึ้นมาจากความตายหรือ? แต่ว่าถ้าไม่มีการฟื้นขึ้นจากการตายของพระเยซูคริสต์และถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาแล้วในการเทศนาสั่งสอนก็ไร้ผลและความเชื่อของคุณก็ไร้ผล และความเชื่อของคุณก็ไร้ผลเช่นเดียวกัน ในอีกทางหนึ่ง อ เปาโลได้พูดถึงผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ในข้อที่ ٢١ อ เปาโลได้กลับไปที่พระธรรมปฐมกาลและได้อธิบายจุดเริ่มต้นของบาป “โดยมนุษย์ที่บาปก็นำไปสู่ความตาย โดยมนุษย์ที่ได้เข้ามาในโลกและได้ฟื้นจากความตาย”พระองค์ได้ตั้งเหตุผลพื้นฐานเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวไว้แล้ว ดังนั้นการเทศนาข่าวประเสริฐ ที่ปราศจากข้อพระวจนะของพระคริสต์โดยพระองค์เป็นพระผู้สร้างและการเข้าสู่บาปและความตาย ก็เป็นการเทศนาที่ไม่มีรากฐาน การเทศนาข่าวประเสริฐที่ปราศจากพระวจนะก็เป็นการเทศนาที่ไม่มีอำนาจ การเทศนาที่ปราศจากแผ่นดินพระเจ้าที่จะมาก็เป็นการเทศนาที่ไม่มีความหวัง ทุกๆข้อที่กล่าวมาเป็นการเสริมสร้างรากฐานโดยข่าวประเสริฐ ดังนั้นเพื่อที่ให้เข้าใจพระวจนะข่าวประเสริฐที่ถูกต้องเราก็ต้องเข้าในในทุกแง่มุม

Gospel

วิธีการของการประกาศ

คริสเตียนส่วนมากรู้สึกว่ามีความเพียงพอที่จะเทศนาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความตายของพระเยซูคริสต์สำหรับบาปของเราความต้องการที่จะสารภาพและต้อนรับพระเยซูคริสต์ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เป็นหลักฐานที่ดีที่คริสตจักรยุคก่อนประกาศใช้การนำเสนอที่แตกต่างตามที่คนทั่วไปได้เห็นมาก่อนพวกเขา ตัวอย่างที่อยู่ในพระธรรมกิจการและพระกิตติคุณข่าวประเสริฐ

ยอห์น ٤ --พระเยซูคริสต์ได้ใช้ “น้ำแห่งชีวิต” ในการเข้าไป ณ. ที่บ่อน้ำ

กิจการ ٢ --เปโตรใช่การอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันเพนตากอทที่เป็นจุดเริ่มต้น

กิจการ ٣ ---เปโตรใช้การรักษาชายที่พิการเพื่อที่พูดถึงอำนาจของพระเจ้า

กิจการ ٧ ---สเตเฟนได้ให้บทเรียนประวัติศาสตร์ต่อแซนแฮนดริน

กิจการ ١٣ ---อ เปาโลได้เทศนาว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ในธรรมศาลา

กิจการ ١٤ และ ١٧ ---อ เปาโลได้เทศนาว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างโลกเพื่อทุกชนชาติ

พระเจ้าได้ยกการรับใช้ในการทรงสร้างไปทั่วทั้งโลกเพื่อว่าวิธีการต่างๆที่สำคัญสำหรับการประกาศในสังคมจะมีความพร้อม พระเจ้าได้จัดเตรียมเราด้วยเครื่องมือที่เป็นปรากฏการณ์อย่างมีพลานุภาพที่ต้องใช้ในปัจจุบันนี้---การประกาศการทรงสร้างของพระเจ้า วัตถุประสงค์หลักคือเราเชื่อว่าคริสตจักรไม่เกิดผลอย่างดีเมื่อเทียนกับเหตุผลโดยตรงที่เป็นการประกาศอย่างไม่ถูกต้อง คริสตจักรได้ประกาศพระวจนะที่เกี่ยวกับไม้กางเขนและพระเยซูคริสต์แต่ไม่เกิดผลเท่าที่เคยได้มีการประกาศมาเราก็ได้อ่านในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่(١ โครินร์ ١: ٢3)ที่ว่าการดทศนาเรืองไม้กางเขนเป็นเรื่องที่โง่ต่อชนชาติ(พวกกรีก)แต่เป็นเพียงอุปสรรดที่ขัดขวางต่อพวกยิวเราจำเป็นต้องนำบทเรียนจากพันธสัญญาใหม่ในกิจการบทที่ ١٤ และ ١٧ ที่เราได้ให้٢ วิธีการที่พิเศษต่อพวกกรีก เป็นวิธีการที่แตกต่างจากที่ใช้สำหรับพวกยิว เมื่ออาจารย์เปาโลได้เข้าไปที่ประเทศกรีกอาจารย์เปาโลไม่ได้เริ่มต้นเทศนาเรื่องพระคริสต์และไม้กางเขน พวกกรีกเชื่อในรูปฟอร์มของการวิวัฒนาการในสายตาของพวกเขาไม่มีพระเจ้าผู้ทรงสร้างองค์เดียวผู้ที่มีสิทธิอำนาจเหนือพวกเขา

มีเพียงรูปแบบสองแบบที่มองเกี่ยวกับจุดกำเนิด วิวัฒนาการหรือผู้ทรงสร้าง ถ้าใครไม่ได้เชื่อเช่นที่ว่ามีการเป็นอยู่ที่นิรันดรดิ์ของสิ่งที่มีชีวิตผู้ทรงสร้างสิ่งทั้งปวง อีกเพียงทางเลือกหนึ่งคือว่ารูปแบบบางรูปของการวิวัฒนาการจะต้องนำมาประยุกติ์

เมื่อเราคิดถึงสิ่งนี้อย่างระมัดระวังเราสามารถที่จะเริ่มเข้าใจว่าทำไมอาจารย์เปาโลจำเป็นต้องประกาศกับพวกกรีกบนพื้นฐานการทรงสร้าง พวกกรีก ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นพระผู้สร้างเป็นแต่เพียงรูปฟอร์มของวิวัฒนาการมีพื้นฐานที่ผิด ดังนั้นกรอบความคิดจึงผิดพลาดเกี่ยวกับโลกนี้ผลที่เกิดขึ้นแก่พวกเขาคือการเทศนาเรื่องไม้กางเขนจึงถูกมองว่าโง่อย่างสิ้นเชิงอาจารย์เปาโลตระหนักว่าก่อนที่ท่านจะเทศนาเรื่องพระคริสต์ท่านจะตั้งรากฐานตามที่ซึ่งท่านสามารถสร้างส่วนที่เหลือของข่าวประเสริฐ ดังนั้นท่านได้ตั้ง

การทรงสร้างเป็นรากฐานและรูปฟอร์มการเทศนาพระวจนะของพระเยซูคริสต์

เมื่อใดก็ตามที่พวกยิวได้รับการประกาศไม่ได้เป็นการประกาศด้วยพระวจนะเรื่องการทรงสร้างก่อน แต่การสอนของพระคริสต์และไม้กางเขน พวกยิวได้มีความเข้าในที่ถูกต้องเกี่ยวกับรากฐานเพราะว่าเขาเชื่อว่าในพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ดังนั้นพวกยิวจึงมีกรอบความคิดที่ถูกต้องของความคิด แม้เป็นเช่นนั้นหลายคนก็ได้ปฎิเสธพระเยซูคริสต์

เป็นเวลาช่วงประมาณหนึ่งที่คริสตจักรยุคใหม่ได้เกาะติดอยู่กับสังคมที่เป็นชาวกรีกมากกว่าชาวยิวในการมอง ตามจริงคริสจักรสมัยใหม่จะเป็นพวกกรีกมากกว่าพวกยิวในอดีตที่พื้นฐานการทรงสร้างได้เป็นพยานต่อสังคมและประชาชนได้ละทิ้งหลักข้อเชื่อของคริสเตียนน้อยลง ในช่วงปลายศตวรรษที่ ٢٠ มนุษย์รู้เรื่องนี้น้อยมาก เราต้องเข้าไปเกาะติดกับความจริงที่ว่าการวิวัฒนาการได้เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่มากในปัจจุบันนี้ที่คนส่วนมากกำลังจะยอมรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราได้รับจอหมายมากมายจากหลายคนที่กำลังชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยกับการกล่าวอ้างของคริสเตียนเพราะว่าวิวัฒนาการได้มีความภูมิใจว่าความเชื่อคริสเตียนผิด

เราจะต้องชื่นชอบที่ว่ามีหลายรุ่นของนักศึกษาที่เข้ามาสู่ระบบการศึกษาผู้ซึ่งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระคัมภีร์ พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องการทรงสร้างเลย น้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์หรือพระวจนะที่เกี่ยวกับไม้กางเขน เป็นการยากที่จะเชื่อได้ว่ามีคนเป็นล้านที่อยู่ในสังคมตะวันตกผู้ซึ่งไม่ได้มีพื้นฐานแต่ก็มีเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อผมได้เดินไปที่ทำงานของ สมาคมวิทยาศาสตร์การทรงสร้างในบริเทน ออสเตรเลีย เราเรียกว่าที่ส่งให้กับเลขานุการของผมที่เป็นพุ่มดอกไม้ที่ใช้แสดงความยินดี หญิงสาวอยู่ทางอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ได้บอกสามครั้งโดยภาษาอังกฤษที่ชัดเจนว่าจะเขียนอะไรลงบนการ์ดที่จะส่งไปกับดอกไม้ ยอห์น ١٤ ข้อ ٢٧ “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย”เมื่อการ์ดได้ส่งไปถึงหญิงนั้นก็ได้เขียนด้วยข้อความ

“ยอห์น ١٤: ٢٧” หญิงคนนี้ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระคัมภีร์หรือคริสเตียนและไม่ได้มีความคิดว่าสิ่งที่ต้องการนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร เลขาณุการของผมได้รับการสอนพระวจนะอย่างพอเพียง(เธอรู้พระวจนะโดยหัวใจ) ได้รับการให้กำลังใจโดยการนำเสนอที่แปลกๆนี่เป็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวแต่มีผลสะท้อนที่น่าเศร้าใจที่หญิงสาวในปัจจุบันกำลังกลายเป็นเช่นนั้น

ในการเพิ่มจำนวนของตัวอย่าง เป็นสิ่งที่ปรากฏเห็นได้ว่าก่อนที่เราจะประกาศพระวจนะเรื่องพระคริสต์อย่างได้ผลเราจะต้องตั้งรากฐานการทรงสร้างตามที่ปรากฎอยู่ในข่าวประเสริฐซึ่งสามารถที่จะถูกสร้างขึ้นมาได้

ให้เรามาเน้นที่ หลักข้อเชื่อของไม้กางเขนแม้ว่าจะดูน่าทุเรศและไร้อำนาจซึ่งมองจากผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แต่มีอำนาจมากมายและสติปัญญามากกว่าสิ่งอื่นใดที่ได้กระทำจากมนุษย์การเทศนาของหลักข้อเชื่อนี้มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ของการรอดจากบาป อย่างไรก็ตามต่อสิ่งนี้การสอนอื่นๆทั้งหมดมีความสำคัญที่เป็นทั้งการเตรียมการเบื้องต้นและเป็นลำดับรองลงมา หลักคำสอนของพระคริสต์ถูกตรึงได้ทำให้เกิดผลตามมาที่ว่าไม่มีอะไรที่จะเหนี่ยวรั้งอำนาจของพระเจ้าที่สามารถประสบผลสำเร็จได้ ดังนั้นในการพูดว่าเราจำเป็นต้องเริ่มจากพื้นฐานที่เป็นรากฐานของการทรงสร้าง >ผมไม่ได้กำลังหลงทางจากพระวจนะเกี่ยวกับไม้กางเขนสิ่งที่ผมพยายามที่จะแสดงคือว่ามีวิธีการเฉพาะของวิธีการเข้าถึงที่ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เมื่อการเสนอพระวจนะของข่าวประเสริฐให้กับใครคนหนึ่ง ความเชื่อที่ว่าสิ่งที่เขาได้ยึดไวนั้นสามารถที่จะเป็นกำแพงต่อผู้ฟังเมื่อคุณเทศนาพระวจนะของไม้กางเขน บางทีเราควรจะคิดใหม่อีกครั้งหนึ่งถึงวิธีที่พบได้บ่อยๆในพวกคริสเตียนที่ใช้ประกาศกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนจากพระคัมภีร์หลายเล่มเช่นในพันธ์สัญญาใหม่ สดุดี และปัญญาจารย์ ถ้าพวกเขาได้ถูกนำไปในพระธรรมปฐมการ บทที่ ١ ถึง ١١ เช่นเดียวกับใน พันธ์สัญญาใหม่พื้นฐานเหล่านี้จะมาจากการนำเสนอข่างประเสริฐในแบบที่เหมือนอย่างอาจารย์เปาโลได้ใช้ในกิจการบทที่ ١٤ และ ١٧ เราเชื่อว่าอาจมีผลกระทบที่ใหญ่หลวงในชีวิตของคนเหล่านั้นผู้ที่อ่านส่วนของพระคัมภีร์---การเตรียมที่ใหญ่กว่าที่จะยอมรับพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดว่าเป็นความจริงและไม่มีความผิดพลาด

การวิวัฒนาการเป็นอุปสรรคที่สามารถพบได้ในประเทศมุสลิม

ผมได้มีโอกาสครั้งหนึ่งที่ได้สนทนากับคริสเตียนที่เป็นชาวอิยิปต์เขาได้บอกกับผมว่าคนอิสลามเป็นศาสนาที่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการทรงสร้างแต่การสอนเรื่องการทรงสร้างในโรงเรียนที่อิยิปต์ทำให้เด็กๆส่วนมากปฏิเสธศาสนาโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้เป็นที่น่าสนใจที่ได้พบว่าศาสนาอื่นที่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการทรงสร้างก็มีปัญหากับการวิวัฒนาการเหมือนกันนี่เป็นสิ่งที่เห็นได้เด่นชัดของคริสเตียนที่ว่าการวิวัฒนาการเป็นกำแพงต่อคนทั่วไปที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสร้าง

ผมได้เห็นปัญหาในระบบโรงเรียนเอกชน นักเรียนมักจะพูดสิ่งหนึ่งดังนี้ “อาจารย์ครับ อาจารย์เชื่อได้อย่างไรว่า พระคัมภีร์เป็นความจริงเมื่อได้กล่าวว่าพระเจ้าได้สร้างอาดัมและเอาว่า” เรารู้ว่าได้เคยพิสูจน์แล้วว่าผิดโดยวิทยาศาสตร์” ผมเชื่อว่าวิวัฒนาการเป็นกำแพงที่ใหญ่ต่อคนทั่วไปในปัจจุบันนี้ในการที่จะรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คนทั่วไป(ผู้ที่เมื่อก่อนไม่ได้คิดเกี่ยวกับพวกคริสเตียน)ได้ยินได้ฟังพระวจนะจากพวกคริสเตียนหลังจากที่กำแพงนี้ได้ถูกกำจัดออกไป

ตัวอย่างหนึ่งที่นักเรียนชั้นมัธยมปลายได้เขียนขึ้น ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับการสัมมนาทางวิทยาศาสตร์เรื่องการทรงสร้างของพระเจ้าในการสัมมนาของนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ข้อมูลข่าวสารเป็นข้อมูลล่าสุด ตรงจุดตรงประเด็น และเสริมสร้างการอภิปรายอย่างมาก หลังจากการสัมมนานักเรียนหลายคนได้พูดว่าเชื่อในสิ่งที่เราได้พูด แน่ทีเดียวพวกนักเรียนก็พลาดไปที่ผู้พูดได้ได้อธิบายหลายอย่างที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้เริ่มขึ้นมาอย่างไรก่อนที่พวกเขาเคยได้ยินสิ่งต่างๆเหล่านี้ว่ามาอย่างไรในโรงเรียน โดนไม่มีการมาสัมมนาเรื่องวิทยาศาสตร์การทรงสร้าง พื้นฐานของคนส่วนมากยังคงคิดว่าทฤษฎีการวิวัฒนาการตั้งอยู่บนความจริง นักเรียนส่วนมากผู้ที่เคยเชื่อในทฤษฎีการวิวัฒนาการ ขณะนี้ได้เปลี่ยนมาเชื่อเรื่องราวในพระธรรมปฐมกาล ขอบคุณสำหรับ วิทยาศาสตร์การทรงสร้างของพระเจ้า วิทยาศาสตร์การทรงสร้างของพระเจ้าเป็นพันธ์กิจที่ยิ่งใหญ่และมีบทบาทอย่างมากในโรงเรียน ผมได้ประสบกับสิ่งนี้ที่จะดำเนินความเชื่อต่อพระวจนะพระเจ้าที่พวกเขาได้นำมาและได้มีการเพิ่มพูนต่อไปอีกมาก

นักเรียนคนนี้ก็ได้พูดเช่นเดียวกันว่าผลของการมาเยี่ยม นักเรียนผู้ที่ว่ากล่าวต่อเขาในการมาเชื่อเป็นคริสเตียนได้เปลี่ยนมาสนใจในการค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ทรงสร้าง ผมเคยได้ยินการเป็นพยานเหล่านี้มากมาย หลายครั้งระหว่างปีในพันธกิจการประกาศเรื่องการทรงสร้างโลกของพระเจ้า

ถ้าประชากรพระเจ้าไม่ได้นำเรื่องการประกาศในเรื่องการทรงสร้างและใช้เรื่องนี้ เราจะต้องทนทุกข์จากผลของวิธีที่ไม่เกิดผลของการประกาศความจริง นี่เป็นเพราะทำไมพันธ์กิจการทรงสร้างมีความสำคัญมากในปัจจุบันนี้ พวกเขาเกี่ยวข้องกับพื้นฐานที่ขึ้นกับ

คริสเตียน—พื้นฐานที่ได้เคยถูกกำจัดออกไปขากหลายๆด้านของสังคมของเรา

ตามที่พระวจนะนี้ได้มีการเทศนาทั่วทั้งประเทศออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆรอบโลก เราได้เห็นคนทั่วไปไดนำความคิดและการตีพิมพ์และการท้าทายอื่นๆในสาขาของการทรงสร้าง เมื่อได้เผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนั้นพวกเขาก็ได้ถูกเห็นว่าได้นำข่าวประเสริฐออกมาในที่ๆเมื่อครั้งก่อนเขาได้ต่อต้านเมื่อหัวข้อเรื่องของพระคริสต์ได้ยกขึ้นมา โดยพระคุณพระเจ้า งานการประกาศการทรงสร้างของพระเจ้าก็เกิดผล

เมื่อผู้ที่เชื่อในพระเจ้าใหม่ๆเข้ามาที่โบสถ์พวกเขาควรจะนำไปสู่การศึกษาพระคัมภีร์ตามพระธรรมปฐมกาล ผู้เชื่อใหม่จะได้เรียนอย่างแท้จริงว่าความเชื่อคริสเตียนเป็นอย่างไรและจะเรียนพื้นฐานหลักข้อเชื่อสำหรับคริสเตียน ผลลัพธ์มาจากการเทศนาแบบง่ายๆเกี่ยวกับพระคริสต์และไม้กางเขนในสังคมเราปัจจุบันนี้เพราะว่ายังคงมีสิ่งที่เหลืออยู่ของรากฐานการทรงสร้างสำหรับการเทศนานั้นแต่ส่วนที่เหลือนี้ได้กระจัดกระจายอย่างรวดเร็วและการตอบสนองก็ไม่มากไปกว่าอดีต นี่เป็นเวลาที่คริสเตียนจะต้องตื่นขึ้นเสียทีและใช้เครื่องมือที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้ในการประกาศให้แก่สังคมซึ่งเป็นเหมือนกับพวกกรีกโบราณนี่เป็นเวลาที่จะต้องเรียกพื้นฐานคริสเตียนกลับมา

ตัวอย่างที่ดีของการประกาศการทรงสร้างที่ทำงานสามารถรวบรวมในจดหมายที่เราได้รับจากนักศึกษามหาวิทยาลัยที่กระตือรือร้น ผมอยากจะขอขอบคุณท่านโดยที่งานรับใช้ของท่านได้ช่วยเหลือคนทั่วไปให้เขาเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้สร้างโลกนี้ ผมต้องการที่จะแบ่งปันคำพยานที่ซึ่งผมอธิษฐานจะหนุนใจคุณในการต่อสู้กับวิวัฒนาการ พ่อของผม อายุหกสิบห้าปีได้เคยเป็นผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า และก็ไม่เคยได้เชื่อว่ามีพระเจ้าเลย และก็มักจะหักใครก็ตามที่มีความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าโดยทั่วไป แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคนกล่าวอ้างว่าพระเจ้าสร้างโลก พ่อจะคิดว่าพระคัมภีร์ไม่มีตรรกกะและหนังสือพระคัมภีร์ก็ง่ายเกินไปที่อยู่ในใจ “พระคัมภีร์ได้บรรจุความจริงไว้อย่างไร? พ่อได้มีคำถาม พ่อผมแน่ใจว่าวิวัฒนาการเป็นหนทางทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นไปได้ที่อธิบายเกี่ยวกับรากฐานของโลกใบนี้

รู้สึกถึงการโจมตีทางด้านจิตวิญญาณ แม่ที่สัตย์ซื่อของผมได้อธิษฐานและได้อธิษฐานเป็นเวลา٢٠ปีสำหรับจิตใจของพ่อเพื่อให้เปิดออกเพื่อรับความจริงและการล่อลวงได้ถูกทำลาย สองปีมาแล้วเมื่อผมอายุได้ ١٨ ปีและได้เป็นคริสเตียนมา ٣ ปี ผมได้ตัดสินใจไปร่วมสัมมนาเรื่องวิทยาศาสตร์การทรงสร้าง ผมไม่สามารถบอกคุณได้ว่าความประทับใจอย่างไรที่ผมได้มีกับความเชื่อในพระคัมภีร์เล่มนี้คริสเตียนได้นำเสนอที่เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการทรงสร้าง สิ่งนี้ทำให้ผมมีความเชื่อในพระวจนะเของพระเจ้าที่เข้มแข็งมากขึ้นๆและผมก็ได้มีความชื่นชมยินดีอย่างมากที่ผมได้ยืนในทางวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะอธิบายว่าพระเจ้าได้สร้างโลกนี้อย่างไร?

ที่แผงหนังสือที่มีการสัมมนาผมได้ซื้อหนังสือหลายเล่มและแมกกาซีน เล่มหนึ่งชื่อว่า “Bone of Contention” ผมรักการอ่านแมกกาซีนนี้มากเพื่อว่าผมได้หนุนใจพ่อของผมให้อ่านเล่มนี้ เป็นที่น่าประหลาดใจพ่อได้นำแมกกาซีนเล่มนี้ไปและอ่านมัน สามวันต่อมา ผมได้ถามพ่อว่าพ่อคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านทำให้ผมประหลาดใจพ่อกล่าวว่ามันทำให้พ่อคิด ณ จุดเริ่มต้นนี้ผมก็ได้ให้เล่มอื่นอีกที่ผมได้ซื้อมา

ไม่กี่อาทิตย์ต่อมาพ่อได้เขียนประโยคเช่นนี้ “ไม่เคยรู้เลยว่าได้มีหลุมมากมายในทฤษฎีวิวัฒนาการ จะต้องมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งสร้างโลกนี้” แต่ละวันใหม่ๆพระเยซูได้เริ่มต้นที่จะเอาจิกซอร์ชิ้นเล็กๆมาต่อๆกันในจิตใจของพ่อที่เกี่ยวข้องกับการทรงสร้างและชีวิตของพระเยซูคริสต์ ไม่กี่อาทิตย์ต่อมานักประกาศก็ได้มาที่คริสตจักร ในคืนเดียวกันนั้นเองพ่อก็ได้ตัดสินใจไปที่โบสถ์ นักประกาศได้พูดเรื่องการทรงสร้างโลกของพระเจ้าและทฤษฎีวิวัฒนาการ เวลาของพระเจ้าเป็นเวลาที่สมบูรณ์! ในคืนนั้นพ่อก็ต้อนรับพระเยซูคริสต์ในหัวใจเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผมได้สรรเสริญพระเจ้าที่ที่พระองค์สามารถนำดวงวิญญาณที่หลงหายไปจากทางที่ไปสู่บึงไฟนรกและพระองค์นำพ่อมาสู่ทางที่มีชีวิตอย่างง่าย เพราะว่าความเข้าใจที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกนี้ได้อย่างไรได้ก่อร่างในจิตใจของพ่อ!

ขอบคุณรากฐานวิทยาศาสตร์ของการทรงสร้างโลกของพระเจ้า เพื่อที่จะสอนคนทั่วไปเกี่ยวกับการทรงสร้าง ผมอยากจะหนุนใจท่านทั้งหลายในการต่อสู้กับซาตาน พระเจ้าได้ทำสิ่งที่อัศจรรย์ตามผลที่เราได้ลงแรงไป

พระเจ้าไม่ได้เพียงแต่เรียกเราเพื่อที่จะบั่นทอนความคิดวิวัฒนาการเท่านั้นแต่ได้ช่วยฟื้นรากฐานข่าวประเสริฐในสังคมของเราด้วย ถ้าคริสตจักรได้นำเครื่องมือการประกาศในสังคมเราจะได้เห็นกระแสของลัทธิปรัชญามนุษย์นิยมซึ่งกำลังทำให้ชนชาติของเราหลงไปเชื่อในสิ่งอื่นของวันเวลาที่ผ่านไป

หนังสือพิมพ์คริสเตียนในออสเตรเลียชื่อว่า ชีวิตใหม่ วันพฤหัสบดีที่ ١٥ เมษายน ١٩٨٢ โจเซฟตัน ผู้ที่เป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรแบบติสท์ที่ใหญ่ที่สุดในโรมาเนียและขณะนี้ก็ได้อพยพไปสู่อเมริกากล่าวว่า “ผมไม่สามารถสรุปได้ว่ามีองค์ประกอบสองอย่างที่ทำลายพวกคริสเตียนในยุโรปตะวันตก หนึ่งทฤษฎีวิวัฒนาการและสอง ศาสนศาสตร์เสรีนิยม....ศาสนศาสตร์เสรีนิยมหมายถึงความเชื่อที่ประยุกต์ทฤษฎีวิวัฒนาการเข้ากับพระคัมภีร์และความเชื่อของเรา

ไม่มีคุณค่าอะไรเลยสำหรับข้อวิจารย์ในหนังสือ “By their blood Christian Martyrs of the 20th century, by Jame and marti Helfly”

นักปรัชญาใหม่และนักศาสนศาสตร์จากตะวันตกได้ช่วยดูแคลนคนจีนที่เชื่อมั่นในคริสเตียน คลื่นลูกใหม่ที่เรียกว่า

มิชชั่นนารีจากแผ่นดินใหญ่เป็นพวกที่เน้นความเชื่อแบบโปเตสแตนท์ทำให้มีการสอนเรื่องวิวาการและมีมุมมองต่อพระคัมภีร์ที่ไม่มีการอัศจรรย์ เมทโทรดิสท์ เพรสไบทีเรียน คองกริเกรชั่น และโรงเรียนแบบติสท์เหนือได้ถูกโจมตีอย่างหนัก เบอร์เทรน รัสเซล มาจากอังกฤษได้เทศนาลัทธิไม่มีพระเจ้าและลัทธิสังคมนิยมหนังสือที่บ่อนทำลายได้นำมาโดยครูที่เข้าใจออร์โธดอกซ์ ชาวจีนที่ฉลาดผู้ที่ได้ถูกสอนโดยมิชชั่นนารี่ออร์โธดอกซ์ผู้ประกาศ เป็นผู้ที่อ่อนไหวต่อการเข้ามาของลัทธิมาร์ก ทฤษฎีวิวัฒนาการได้กำลังทำลายคริสตจักรและสังคมปัจจุบันนี้ และคริสเตียนจะต้องตื่นขึ้นต่อความจริงเช่นนั้น

หว่านและ เก็บเกี่ยว

ขอบคุณสำหรับพระวจนะเรื่องการหว่านเล็ดพืชในพระธรรมมัทธิว ١٣:٣-٢٣ “คำอุปมาเกี่ยวกับผู้หว่านพืช” เมื่อเมล็ดพืชได้ตกลงบนหินและตกลงไปในดินมันไม่ควรเจริญเติบโต มันจะเจริญเติบโตเมื่อมันได้ตกลงบนดินที่เตรียมไว้เราได้หว่านเมล็ดออกไปซึ่งเป็นการหว่านหระกิตติคุณข่าวประเสริฐ ความล้มเหลวเกิดขึ้นเมื่อมันตกในดินแห้งและบนดินหินที่เป็นปรัชญาการวิวัฒนาการ ข่าวประเสริฐต้องการดินที่เตรียมไว้การประกาศการทรงสร้างทำให้เราเตรียมดินเพื่อว่าเมล็ดที่ดีสามารถกระจายและผลการเก็บเกี่ยวก็ยิ่งใหญ่ จินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคริสตจักรของเราลุกขึ้นอย่างจริงจังสำหรับการทรงสร้างในสังคมของเรา การประกาศการทรงสร้างเป็นเป็นวิธีการหนึ่งในที่ซึ่งเราสามารถจะเห็นการมีความรอด

เราไม่ได้กำลังแนะนำว่าการฟื้นฟูที่แท้จริงสามารถทำให้มีกลไกได้รับเข้ามาอย่างง่ายในกลยุทธ์อันชาญฉลาดของมนุษย์ การฟื้นฟูเป็นความจำเป็นที่งานของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่นั้นได้ฉายออกมาโดยพระวิญญาณของพระเจ้าแต่ประวิติศาสตร์ของคริสตจักรได้แนะเราว่าการเคลื่อนไหวของพระเจ้าในบริเวณนี้เป็นเป็นความสัมพันธ์กับผู้อธิษฐานที่สัตย์ซื่อของประชากรของพระองค์และต่อการเทศนาข่าวประเสริฐที่สัตย์ซื่อ

Bulldozer

การให้เพื่อยกย่องพระเจ้าและพระคำของพระองค์สังเกตว่าธรรมชาติของ “ข่าวประเสริฐที่นิรันดร์” ได้เทศนาโดยทูตสวรรค์ใน วิวรณ์ ١٤.٧ “ความยำเกรงพระเจ้าและยกย่องพระองค์สำหรับเวลาของการตัดสินของพระองค์และ

.++นมัสการพระผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลกและน้ำทะเลและรากฐานของน้ำ” พระกายของพระคริสต์สามารถคาดหวังการหลั่งออกที่ยิ่งใหญ่ของพระวิญญาณพระเจ้าได้อย่างแท้จริงในการฟื้นฟูในขณะที่เราได้อดทนและประนีประนอมกับระบบศาสนา(วิวัฒนาการ)ที่ซึ่งแรกที่เดียวได้ตั้งขึ้นมาเพื่อปฎิเสธพระสิริพระเจ้า การนมัสการพระองค์ในฐานะที่พระองค์เป็นผู้สร้าง ผู้พิพากษา และ ผู้ไถ่ที่ยิ่งใหญ่?

ผลที่ได้จากพันธกิจวิทยาศาสตร์การทรงสร้าง ประชาชนส่วนมากผู้ซึ่งก่อนๆไม่ได้ยินข่าวประเสริฐได้ตระหนักว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้ทางวิทยาศาสตร์ พวกเจาได้ยินพระวจนะของการทรงสร้างและการไถ่บาปและเขาได้สัญญาที่จะมีชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ของเขา พวกคริสเตียนจำนวนมากได้เป็นพยานถึงความเชื่อของพวกเขาในพระวจนะ ได้เคยฟื้นกลับมาแทนที่การสงสัยในพระคัมภีร์ เรารู้ว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้าที่แท้จริง เขาสามารถที่แบ่งปันความจริงของพวกคริสเตียนกับเพื่อนบ้านของเขาและเพื่อนปราศจากการสงสัยพระคัมภีร์เชื่อถือได้หรือไม่ คริสเตียนได้มีตาที่เปิดออกต่อความจริงที่จะเข้าใจพวกคริสเตียน พวกคริสเตียนจำเป็นต้องเข้าใจรากฐานของพระธรรมปฐมกาล

หลังจากที่ได้ยินผมเทศนาในหัวข้อเฉพาะนี้ผู้รับใช้ที่คริสจักรหนึ่งได้แจ้งต่อคนในที่ประชุมของเขาว่าเขาไม่ได้ตระหนักมาก่อนเลยว่าเขาได้ทำอะไรในการรับใช้ในความพยายามที่จะต่อสู้กับปรัชญาทางมนุษย์นิยม เขาเป็นดังที่เป็น “ตัดที่ส่วนบนของวัชพืช” วัชพืชได้เติบโตกลับใหญ่ขึ้นและเจริญดีกว่าเดิมหลังจากที่ได้ฟังพระวจนะของการประกาศการทรงสร้างของพระเจ้าเขาตระหนักว่านี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีเพียงพอ เขาจะต้องกำจัดโรคติดต่อร้ายแรง ราก และทั้งหมด พันธ์กิจการทรงสร้างเป็นพันธ์กิจไถดิน ไถดินขึ้นมา กำจัดอุปสรรคของวิวัฒนาการ (กำจัดวัชพืช) และเตรียมดินสำหรับเมล็ดที่จะหว่านลงไป

ต่อไปนี้เป็นการยอมรับไม่มาก จากจดหมายที่เป็นพันฉบับ ที่ได้ข้ามเข้ามาที่โต๊ะทำงานของผมระหว่างเวลาที่ผมสาระวนอยู่กับพันธ์กิจการทรงสร้าง

ตามที่คุณได้อ่านสังเกตหนทางที่คนทั้งหลายมีชีวิตเคยได้รับผลกระทบจากพระวจนะที่มีรายละเอียดในพระคัมภีร์ จดหมายได้เขียนว่า

“ผมอยากจะพูดอย่างง่ายๆว่าได้รักษางานที่ประเสริฐ ผมจะไม่สามารถที่จะขอบคุณอย่างเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นสัมมนาของผม เพราะว่าในวันนั้นผมรู้สึกว่าคุณได้ดึงเอาความมือบอดจากข้างหน้าผม” มิสเตอร์จี

“ขอบคุณสำหรับการพูดแนะนำของคุณที่ได้หนุนใจพี่น้องผู้ที่ผมได้ทำให้เขายืนหยัดหลังจากที่มีผลจากการสัมมนาวิทยาศาสตร์การทรงสร้างผมมีความยินดีที่จะพูดว่าผมดีใจที่ได้สามัคคีธรรมกับพี่น้องคนอื่นๆในพระเจ้าในฐานะที่ผมได้เฝ้ามอง ในความประหลาดใจ การมีอยู่ก็ได้เร่งการเจริญเติบโตเขาได้มีประสบการณ์ทั้งเดือนที่ได้ผ่านไปเพราะว่าท่านมาเยี่ยมครั้งสุดท้าย บางคราว สามวันเราได้ยินพระวจนะที่มีความสำคัญและตรงประเด็นในศตวรรษที่ ٢٠ ที่ที่เราเผชิญกับสังคม ในที่คนทั่งไปไม่มีเงื่อนงำที่ว่าสังคมนี้มาจากไหนและผลที่ได้รับไม่มีคำถามที่ว่าสังคมจะไปทางไหน ปรัชญาสมัยใหม่ได้ปรากฏเป็น”มีชีวิตอยู่เพื่อวันนี้” ปัญหาทั้งมวลเริ่มต้นที่เราไม่ต้องการที่จะเรียนจากอดีต หนทางที่มนุษย์ได้อาศัยอยู่และผลของแบบแผนการดำเนินชีวิตของพวกเขาเพราะว่าเมื่อเรามองไปในอดีตเราจะเห็นความเปราะบางของชีวิตว่าเป็นอย่างไรแสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาพระเจ้าของคนในยุคนี้ดูประหนึ่งว่าจะถูกแยกออกไป” มิสเตอร์ พี

“ผมอยากจะให้คุณรู้ว่าผมได้ตื่นเต้นและสวยงามอย่างไรที่ผมได้อ่านและได้ฟังเทปสิ่งนี้ทำให้ผมมีความเชื่อในพระเจ้าของผมผ่านทางการเข้าใจพระคัมภีร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระธรรมปฐมกาล ผมได้ให้กลุ่มของผู้หญิงในคริสตจักรผ่านทางการศึกษาการทรงสร้างกับการวิวัฒนาการและได้เคยหนุนใจโดยความสนใจและโดยการตอบสนอง ผมต้องสารภาพผมพบว่าสิ่งนี้เป็นข้อตกลงและไม่ได้แสดงความรู้ของผมที่ได้พบใหม่จากเบื้องบน” มิสเตอร์แอล

คุณอาจได้รับการหนุนใจที่จะรู้ว่าสิ่งที่ตามมาจากวิทยาศาสตร์การทรงสร้าง อาหารเช้าของผู้ชายมีอยู่ที่คริสตจักรท้องถิ่น เพื่อนบ้านผู้สูงอายุของผมได้เป็นผู้ที่สนใจในพวกคริสตียนและหลังจากที่ได้พูดกัน การนมัสการในคริสตจักรและการอภิปรายเขาได้กลายเป็นคริสเตียน เขาได้รับบัฟติสมาเมื่อปีที่แล้วและขณะนี้ก็ร้อนรน หาสมาชิกเข้ามาในคริสตจักรกระหายที่จะอ่านพระวจนะและได้เติบโตขึ้น เขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง!” มิสเตอร์พี

“ผมอยากจะแบ่งปันกับคุณในส่วนหนึ่งของการเป็นพยานของผม เกือบปีมาแล้วผมได้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในฐานะที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของผมตามผลของพันธ์กิจวิทยาศาสตร์การทรงสร้างโลก ผลที่ตามมาพระเจ้าได้นำผมจากคนธรรมดา นักวิวัฒนาการ

สภาวะที่เป็นมนุษย์นิยม ระบบการศึกษาในโรงเรียนคริสเตียน โดยส่วนตัวผมขอขอบคุณพันธกิจของคุณ”

มินเติอร์ เฮช “ตามที่เป็นกลุ่มนักวิวัฒนาการที่เกี่ยวกับพระเข้ากลุ่มหนึ่ง ผมได้ตระหนักโดยขอบคุณการเขียนบทความเกี่ยวกับวิทยาสาสตร์การทรงสร้าง สนับสนุนการความถูกต้องในการตีความหมายทางวิทยาศาสตร์ของพระธรรมปฐมกาลที่ได้บันทึกเรื่องการทรงสร้างโลกของพระเจ้าที่ซึ่งทฤษฎีวิวัฒนาการของจุดกำเนิดเป็นการสอนที่ผิด” มิสเตอร์ดี

“ลูกของผมเบรนเดน(อายุ ٨ ปี)ไดให้คำมั่นสัญญาในชีวิตของเขาต่อองค์พระเยซูคริสต์โดยเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผมได้ตระหนักว่าเขาไม่ได้เข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมถึงว่าสิ่งที่เขาได้เชื่อลึกๆนั้นเป็นอะไร แต่ประสบการณ์ได้สร้างอารมณ์สำหรับเขาและเขาก็จริงใจ พระเจ้าอาจนำทาง ผมในการฝึกฝนเขาต่อไป ผมอยากขอขอบคุณสำหรับองค์กรของคุณสำหรับเรื่องราววรรณคดี ผมได้มีความสามารถที่จะซื้อ หนังสือเหล่านี้จากคุณทำให้ผมมีความเชื่อมากยิ่งขึ้นและผมแน่ใจว่าหนังสือนี้ได้เหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณของลูกชายของผมจะได้เจริญเติบฝ่ายจิตวิญญาณ ผมอดไม่ได้ที่คิดว่าพอเพียงสำหรับคนทั่วไป

“ขอบคุณสำหรับการส่งเอกสารตีพิมพ์ให้กับผม ผมได้พรรณนาการค้นคว้าหลายอย่างในพวกเขาและให้เอกสารกับเพื่อนผู้ที่เรียนทางวิศวกรรมไฟฟ้าซึ่งเป็นผู้ที่ผมได้ติวคณิตศาสตร์ให้ เขาได้พบกับคนเหล่านั้นด้วยการประหลาดใจ สิ่งนี้ทำให้เขาเปิดสู่ข่าวประเสริฐและเขาบอกผมว่าเขาได้ปรารถนาที่จะอ่านพระคัมภีร์และวรรณกรรมอื่นๆ ผมได้รู้สึกว่ามีความสุขที่ช่วยเหลือเขา ตั้งใจที่ให้มั่นสัญญาต่อองค์พระเยซูคริสต์ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มาจากแผ่นพิมพ์ที่ผมได้รับจากคุณ” มิสเตอร์ เจ

“คุณได้พูดครั้งหนึ่งที่คริสตจักรแบบติสท์คือการทรงสร้างโลกของพระเจ้านั้นตรงจุดตรงประเด็น---พระวจนะเล็งไปที่คริสเตียน---มีพวกที่ไม่เชื่อพระเจ้าและเป็นพวกหัวแข็งในท่ามกลางผู้ที่นั่งฟังอยู่ผู้ที่อธิษฐานสำหรับการเป็นพยานเป็นปีๆ เขาได้มาหาพระเจ้าในคืนนั้นหลังจากที่คุณได้ออกไป พระเจ้าได้ใช้พันธ์กิจนี้อย่างแท้จริง” มิสเตอร์ ดับเบิลยู

“ในฐานะที่เป็นผู้บรรยายทางด้านจิตวิทยาในมหาวิทยาลัย ครั้งหนึ่งผมได้ร้อนรนในวิวัฒนาการ ผมได้ตกหลุมรักกับทฤษฎีนี้และและยอมรับว่าเป็นความจริงแต่ก็ไม่มีอะไรมาก การทรงสร้างพิเศษเป็นความเชื่อเช่นเดียวกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่เป็นความเชื่อ ความเชื่อเหล่านี้เป็นอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตบางสิ่งลางอย่างที่ไม่สามารถเกิดซ้ำขึ้นอีกและดังนั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแท้จริง ตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นหาความจริง และเราก็ถูกผูกมัดในความคิดและพยานหลักฐานที่สนับสนุนแต่ละทางเลือก—เพื่อที่จะคิดอย่างเปิดกว้างที่ซึ่งรูปแบบหรือความเชื่อเหมาะสมดีต่อความจริงที่สังเกตุได้ เมื่อผมได้บังเกิดใหม่เป็นคริสเตียน ข่าวที่น่าอัศจรรย์ทั้งหมดของชีวิตใหม่ก็ได้เปิดออกสำหรับผม ท้ายที่สุดผมก็เริ่มมีคำถามถึงทฤษฎีของวิวัฒนาการแต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเปลี่ยนขากการวิวัฒนาการไปสู่ผู้ทรงสร้างเว้นไว้แต่ว่าผมผมได้ถูกโน้มน้าวว่าการตัดสินโดยพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลง

“วรรณกรรมกำลังเสนอกรณีวิทยาศาสตร์สำหรับการทรงสร้าง และอีกครั้งหนึ่งก็คือวิวัฒนาการที่ขณะนี้มีให้อย่างกว้างขวางเพราะว่าการยอมรับโดยทั่วไปของการวิวัฒนาการในสังคมของเรา อย่างไรก็ตามเมื่อผมพบว่าวรรณกรรมนั้น ผมก็ได้คิดว่าพยานหลักฐานจากทุกสาขาของวิทยาศาสตร์มีความชัดเจนสนับสนุนเรื่องราวพระคัมภีร์ของการทรงสร้างและความหายนะ น้ำท่วมโลกร้ายแรงมากกว่าการกระทำของวิวัฒนาการ การเพิ่มจำนวนมากขึ้นของนักวิทยาศาสตร์ที่มีคุณสมบัติเด่นและจากประเทศอื่นๆก็มีความเห็นเหมือนกัน” ดร เอ็ม

นอกจากนี้จดหมายหลายฉบับผมสามารถจัดเตรียมคำพยานต่อเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นจากผลของโปรแกรมการชักนำการพูดเรื่องพระเจ้าทรงสร้างที่จัดขึ้นทั่วทั้งโลก มีเหตุการณ์เหล่านี้น้อยมากดังรายงานต่อไปนี้

ชายหนุ่มคนหนึ่งแจ้งให้เราทราบว่าเขาได้นำคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ห้าคนเข้าสัมมนาที่รากฐานวิทยาศาสตร์การทรงสร้างได้มีการชักนำ สองอาทิตย์ผ่านไปพวกเขาก็ได้ให้คำมั่นสัญญาต่อองค์พระเยซูคริสต์ เขาได้บอกผมว่าสิ่งนี้เป็นสัมมนาวิทยาศาสตร์การทรงสร้างที่พระเจ้าใช้เพื่อที่จะนำพวกเขามาเชื่อพระองค์

ที่คริสตจักรอีกคริสตจักรหนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งได้เข้ามาที่คริสตจักรและได้บอกผมว่าเธอได้ซื้อหนังสือตามที่ได้แนะนำเมื่อปีที่แล้วที่คริสตจักรนั้นหลังที่เธอได้นำหนังสือกลับบ้านไปให้สามีของเธอ ใครไม่เคยที่เข้าคริสตจักรเขาได้อ่านหนังสือเหล่านั้นและก็ได้มาร่วมนมัสการในคริสตจักรตั้งแต่นั้นมา

ในประเทศนิวซีแลนด์มีผู้ชายเข้ามาหาผมและกล่าวว่า “ผมได้มาคริสตจักรเป็นเวลา ٥٥ ปีและไม่เคยได้ยินพระวจนะ เช่นนั้น” พระวจนะตรงจุดตรงประเด็นสำหรับการทรงสร้างโลกของพระเจ้าเพื่อที่ให้เข้าใจพระคัมภีร์ เกี่ยวกับกฎการทรงสร้างและสาระทั้งหมดของโลกที่สวยงาม ความชั่วร้ายของการตกในบาปและความจำเป็นที่พระเยซูคริสต์ต้องมาตายสำหรับการรอดจากบาปของมนุษย์ชาติ

ในสหรัฐอเมริกามีการตอบสนองต่อพันธกิจการทรงสร้างเหมือนกันที่ได้มีการแสดงออกกว่าหลายปีมาแล้ววรรณกรรมสำหรับการทรงสร้างได้มีจดหมายเป็นพันฉบับจากประชาชนผู้ที่ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลง

การประกาศการทรงสร้างได้ประสบผลสำเร็จ ตามจริงที่ว่าพันธกิจการทรงสร้างได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลกพันธกิจเช่นสถาบันการวิจัยการทรงสร้างโลกของพระเจ้าในสหรัฐอเมริกาลำตอบในพระธรรมปฐมกาลในออสเตรเลียไม่สามารถที่จะดำรงไว้กับงานที่มากจากการเพิ่มขึ้นในความต้องการสำหรับการบริการ ชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลง คนทั่วไปก็หลั่งไหลมาหาพระเจ้าโดยรับเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและรากฐานการทรงสร้างก็ได้ฟื้นฟูทีละเล็กทีละน้อย คุณเป็นผู้อ่านที่น่ารัก เป็นส่วนของการเติบโต การตื่นเต้นและพันธกิจที่ร้อนรนในวันสุดท้ายหรือไม่?

สดุดี ١١٩:١ ได้กล่าวว่า”บรรดาผู้ที่ดีรอบคอบในทางของเขาก็เป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินตามพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์”

Worldview

บทที่ ١٠ ตื่นเถิดผู้เลี้ยง นั่นคือการโต้แย้งหลายอย่างต่อพันธ์กิจการทรงสร้างเกิดขึ้นภายในคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่ประนีประนอมกับวิวัฒนาการและคนเหล่านั้นที่ยึดอยู่ในศาสนศาสตร์เสรีนิยม ลำดับที่ ١ โปรดเข้าใจว่าผมไม่ต้องการที่จะมีเสียงราวกับว่าผมได้กำลังตีอย่างแรงไปที่คนอื่นๆผู้ที่ได้มีคำมั่นสัญญาระหว่างวิวัฒนาการและพระคัมภีร์ คนส่วนมากไม่เข้าใจประเด็นแท้จริงที่เกี่ยวพันพวกเขาเชื่ออย่างแท้จริงว่านักวิทยาศาสตร์ได้มีการพิสูจน์วิวัฒนาการและประเด็นที่เกี่ยวข้องทุกประเด็น สำหรับคนจำนวนมาก ความเชื่อในวิวัฒนาการเกี่ยวกับศาสนศาสตร์ ทฤษฎีช่องห่าง และการทรงสร้างที่ก้าวหน้าออกมาจากความกดดันจากความเชื่อของเขาที่นักวิทยาศาสตร์ได้มีการพิสูจน์มากมาย ถ้าไม่มีแง่มุมทั้งหมดของวิวัฒนาการ จนกระทั่งเร็วๆนี้คริสเตียนไม่ได้มีการชักนำทางวิจัยวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เพื่อที่จะสามารถอธิบายปัญหาทั้งหมด โดยทฤษฎีวิวัฒนาการ สำหรับการยึดติดต่อการเห็นพ้องกันก็ให้มีความสามารถบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับความสับสนที่สนับสนุน “ความจริง”

ณ การสัมมนาครั้งหนึ่ง หญิงคนหนึ่งได้บอกกับผมว่าวิวัฒนาการได้ทำลายความเชื่อของเธอในพระวจนะ เธอได้รับความว่างเปล่าในชีวิตซึ่งเธอได้ร้องต่อพระเจ้าและอธิษฐานสำหรับคำตอบต่อปัญหานี้ เธอได้พบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อพระวจนะ เธอได้มุ่งไปที่ห้องสมุดและก็ได้ค้นหาหนังสือทฤษฎีช่องว่าง( ทฤษฎีช่องว่างมีรากฐานที่ยอมรับเวลาพันปีระหว่างพระธรรมปฐมกาล ١.١ และพระธรรมปฐมกาล ١.٢) เธอรู้สึกตื่นเต้นในการอธิบายนี้และเตรียมตัวในการการสร้างชีวิตคริสเตียนของเธอใหม่ ในตอนจบของการสัมมนาเธอได้มาหาผมและพูดว่าความตื่นเต้นของเธอคือเธอไม่ได้เชื่อในทฤษฎีช่องว่างนั้น แม้ว่าเธอได้พูดว่าพระเจ้าได้ใช้ทฤษฎีช่องว่างเพื่อนำเธอออกจากสถานการณ์ที่เป็นสาเหตุมาจากทฤษฎีวิวัฒนาการ บัดนี้เธอได้เชื่อในพระคัมภีร์อย่างแท้จริง

มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่เป็นคริสเตียนในรุ่นก่อนๆที่ได้สนับสนุนทฤษฎีช่องว่างหรือวิวัฒนาการที่เกี่ยวกับพระเจ้า อย่างไรก็ตามเราสามารถแสดงธรรมชาติที่แท้จริงของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการและสามารถเห็นพยานหลักฐานที่มีพลังที่สนับสนุนพระคัมภีร์ในทุกๆด้าน ไม่มีความต้องการที่ไปต้องไปยินยอมกับการประนีประนอม ไม่เพียงแต่ไม่มีความจำเป็นต้องยอมประนีประนอมแต่สิ่งนี้ก็ได้มีนัยว่าคริสเตียนก็ต้องไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นและยอมรับพระคัมภีร์ในฐานะที่เป็นสิทธิอำนาจของพระวจนะพระเจ้า

ยากอบ ٣.١ เตือนว่า “...อย่าให้เป็นอาจารย์กันมากหลายคนเลย เพราะท่านก็รู้ว่าเราทั้งหลายที่เป็นผู้สอนนั้นจะได้รับการทรงพิพากษาที่เข้มงวดกว่าผู้อื่น”

ผมขอวิงวอนต่อผู้นำคริสเตียนเพื่อคิดให้อย่างจริงจังในความเชื่อของท่านทั้งหลายเกี่ยวกับคำถามของการทรงสร้างและการวิวัฒนาการ ตัวอย่างหนึ่งที่ผมได้ยกมาโดยได้บรรยายถึงการไปเยี่ยมโรงเรียนและผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามของนักเรียนต่อพระวจนะข่าวประเสริฐผมได้แบ่งปันคำพยานให้แก่นักเรียนในโรงเรียนนั้น ผมก็ไม่ได้กล่าวว่าผมได้ถูกขัดขวางจากผู้บริหารที่ท้องถิ่นนี้บางคน เหตุผลนะหรือ?พวกเขาพูดว่าผมคงสับสนกับเด็กนักเรียน พวกเขาได้ชี้ให้เห็นว่าผมไม่มีสิทธิที่จะพูดว่าพระคัมภีร์มีความหมายที่จริง ถ้าพวกเขาเหล่านั้นสำเร็จในการการโต้แย้งเช่นนั้นเด็กๆก็จะไม่ได้รับการเปิดเผยโดยข่าวประเสริฐ

ที่โรงเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งผู้บริหารถ้องถิ่นได้ใช้เวลาอย่างใหญ่หลวงที่จะได้รับอนุญาตให้คณะวิทยาศาสตร์การทรงสร้างได้เข้ามาบรรยายบางสิ่งบางอย่างในชั้นเรียนผู้บริหารท้องถิ่นอีกคนหนึ่งก็ได้ใช้สิทธิในการบรรยายหลังจากที่ทางคณะได้พูดขบ เขาได้บอกกับนักเรียนว่าเขาได้เป็นคริสเตียนและเป็นผู้บริหารศาสนาและแล้วก็ได้วิงวอนต่อพวกเขาอย่าเชื่อในสิ่งที่พวกเราพูด เขาได้พูดว่าเขาได้เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ และไม่เชื่อว่าพระธรรมปฐมกาลเป็นจริง

เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นหลายครั้งระหว่างที่ผมได้ทำพันธ์กิจการทรงสร้าง ครั้งแล้วครั้งเล่าเราได้ทนต่อผู้บริหารเหล่านั้นที่กล่าวอ้างว่าพวกเราทำให้เด็กนักเรียนสับสนและก็ไม่ควรอนุญาตให้เข้ามาพูดในโรงเรียนพวกผู้บริหารเหล่านี้ก็ได้ลืมความจริงไปว่านักเรียนกำลังถูกบอกว่าไม่มีพระเจ้าและทุกอย่าง(รวมถึงมนุษย์)เป็นผลจากโอกาสเชิงสุ่ม ข้อความของเราง่าย พวกเรากำลังบอกนักเรียนว่ามีพระเจ้าและพระองค์เป็นผู้สร้างและพระคัมภีร์เป็นความจริง เป็นไปได้อย่างไรที่คนที่สนับสนุนผู้รับใช้ ชอบที่จะบอกแก่นักเรียนว่าไม่มีพระเจ้า? พวกเหล่านี้ไม่ได้มีความเชื่อในปรัชญาของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่เขามีความหวังที่เป็นผู้เลี้ยงคนอื่นๆ? แท้จริงเขาควรจะเข้าไปถามนักเรียนว่าพวกครูที่สอนทฤษฎีวิวัฒนาการได้กำลังทำอะไรกับพวกนักเรียนในโรงเรียนของคริสตจักรใน ทาสมาเนีย ออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่ได้สอนทฤษฎีวิวัฒนาการที่ได้เพิ่มพระเจ้าเข้าไป สาธุคุณท้องถิ่นได้พยายามอย่างหนักที่จะขัดขวางการเยี่ยมเยียนของผมแต่ครูคนหนึ่งได้ยินยอมที่ให้นำเสนอเรื่องการทรงสร้างในชั้นเรียนและได้เชิญผมเป็นผู้บรรยายพิเศษในตอนสรุปของการนำเสนอของผม เด็กผู้หญิง ประมาณ ٦٩ ถึง ٧٠ คน ได้วิ่งออกมาล้อมผมส่งเสียงว่าเกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้ยืนยันในเรื่องพระเจ้าทรงสร้างโลก และพวกเด็กๆก็ตะโกนว่า “ไม่มีพระเจ้า” “ศาสนาพุทธ ดีกว่าพวกคริสเตียน” “ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความจริง” “คุณไม่ควรเชื่อในพระคัมภีร์” “พระคัมภีร์เต็มไปด้วยสิ่งที่ผิดพลาด” “เราไม่สนใจในสิ่งที่คุณได้บรรยายมา” เพราะว่ามีการประนีประนอมกับวิวัฒนาการพวกเด็กๆ จึงเปิดน้อยมากที่จะรับพระคัมภีร์ พวกเขาอยู่โรงเรียนคริสตจักร ทำไมเขาไม่รู้จักว่าอะไรจริง? ที่ผ่านๆมาพวกเขาได้รับคำตอบทั้งหมด อย่างไรก็ตามมีเด็กสาวคนหนึ่งเขามาหาผมด้วยน้ำตาเธอขอบคุณผมที่ให้รากฐานความเชื่อแก่เธอ เธอเชื่อในพระคัมภีร์ของคริสเตียนแต่เธอพบว่ายากมากที่จะเติบโตในความเชื่อในโรงเรียนนี้ ครูก็ได้บั่นทอนความเชื่อคริสเตียนของเธอ และก็ได้ทำให้ความเชื่อคริสเตียนของคนอื่นๆอ่อนแอลงอย่างมาก

ในช่วงของการถามตอบที่คริสตจักรหนึ่ง อาจารย์คนหนึ่งก็ได้ยกคำถามที่น่าสนใจ เพราะว่าไม่มีโรงเรียนคริสเตียนในอำเภอนี้ที่ได้สอนจากมุมมองการทรงสร้างโลกของพระเจ้า คำถามคือผู้ปกครองควรที่จะให้เด็กลูกๆไปเรียนในโรงเรียนท้องถิ่นที่รู้ว่าต่อต้านปรัชญาคริสเตียนหรือประนีประนอมกับโรงเรียนคริสเตียน? ที่ประชุมนิ่งเงียบเพื่อรอคำตอบ

คำตอบของผมคืออะไร? ส่งเด็กๆไปโรงเรียนคริสตจักรที่ซึ่งประนีประนอมกับการวิวัฒนาการและเพียงแต่สอนปรัชญาทางโลก หรือส่งไปที่โรงเรียนเอกชนท้องถิ่น? คำตอบแรกของผม “ผมไม่ส่งลูกของผมไปที่ไหนเลย—ผมจะให้เด็กอยู่ที่บ้าน+” แน่นอนนี่เป็นทางเลือกที่แท้จริงสำหรับผู้ปกครองมากมายในปัจจุบันและการสอนที่บ้านก็เป็นการเติบโตที่ดี อย่างไรก็ตาม

ผมได้ไปในโรงเรียนและเพิ่มเติมว่าเป็นการง่ายในด้านหนึ่งเพื่อจะบอกเด็กๆว่าพวกนักเรียนกำลังถูกสอนปรัชญาการต่อต้าน

คริสเตียนในโรงเรียนเอกชนโรงเรียนที่สังกัดคริสตจักรที่ดูประหนึ่งว่าเป็นคริสเตียนแต่ก็ประนีประนอมยอมกับปรัชญาฝ่ายโลกที่ไม่มีความแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปเว้นไว้แต่ว่าโรงเรียนมีจุดประสงค์เพื่อที่จะเป็นคริสเตียน

พระเจ้าได้ทำให้เกิดความชัดเจนต่อเราในวิวรณ์ ٣.١٥-١٦ “เรารู้จักแนวการกระทำของเจ้าว่า เจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน ดังนั้น เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา

ในการอ้างอิงต่อคริสตจักรที่ประนีประนอมเราได้อ่านดังนี้” เรารู้จักการการะทำของเจ้าเจ้าไม่เย็นไม่ร้อน เราใคร่ให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา“ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมเรามักจะได้รับการตอบสนองที่ดีต่อผู้บริหารของเราในโรงเรียนเอกชนมากกว่าการประนีประนอมกับโรงเรียนคริสเตียน

ศิษยาภิบาล นักศาสนศาสตร์ ผู้บริหารโรงเรียน ท่านจะต้องเฝ้าระวังว่าอะไรเกิดขึ้นในระบบโรงเรียนและวิวัฒนาการกำลังเกิดขึ้นกับจิตใจของนักเรียน มีนักเรียนน้อยมากที่เข้าเรียนในโปรแกรมการศึกษาของคริสตจักร และมีนักเรียนที่น้อยกว่าเข้าเรียนในการศึกษาศาสนา ในหลายโรงเรียนชั้นเรียนการศึกษาทางศาสนาไม่ยอมให้มีการสอน มองดูอย่างที่ปฏิบัติได้ การประนีประนอมของคุณเป็นอย่างไร? มันไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม?

การคัดค้านบางอย่างเราได้พบสามารถเห็นได้ในการสัมภาษณ์กับวิทยุออสเตรเลียวันที่ ١٦ พฤษภาคม ١٩٨٦ กับสาธุคุณ คอลลิน แอนนี่ เป็นผู้บริหารใน คริสตจักรไนติ้งและเป็นครูใหญ่ของวิทยาลัยคิงส์วู๊ด ของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย สาธุคุณฮอนนี่ได้ถูกถามว่าถ้าคุณได้เห็นความสับสนทางพื้นฐานระหว่างพวกคริสเตียนและพวกที่จิตใจแบบง่ายๆ สาธุคุณฮอนนี่ได้ตอบว่า”ผมเดาเอาว่าจะมีในจิตใจของมนุษย์ถ้าคนโง่ได้บอกกับเราว่าพระคัมภีร์ได้กล่าวว่าโลกถูกสร้างใน٦ วัน”

คุณจะอยู่ในอาการชอร์คถ้าคุณเขียนบางอย่างที่เกี่ยวกับศาสนศาสตร์หรือวิทยาลันพระคัมภีร์และถามเขาเหล่านั้นว่าเขาได้สอนในวิทยาลัยเกี่ยวกับการทรงสร้าง แต่เป็นการพิเศษ—ถ้าเขาสอนเรื่องการทรงสร้างอย่าถามเขา แต่ถามเขาว่าเขาเชื่ออะไรเกี่ยวกับพระธรรมปฐมกาล คุณเชื่อหรือไม่ว่าวันในปฐมกาลเป็นวันจริง? พวกเขาเชื่อหรือไม่ว่าน้ำท่วมโลกของโนอาห์ได้แผ่ขยายไปทั่วโลก? เขาได้แปลพระธรรมปฐมกาลโดยความหมายที่แห้จริงหรือไม่? เขาได้เห็นความสำคัญของพระธรรมปฐมกาลสำหรับการอบรมสั่งสอนหรือไม่? ผมได้พูดกับคนในคริสตจักรว่าผมรู้ว่าวิทยาลัยที่สอนศาสนศาสตร์ได้แสดงหัวข้อพิเศษทั้งการสอนวิวัฒนาการและมุมมองที่ว่าพระธรรมปฐมกาลไม่ได้มีความสำคัญ คนส่วนมากรู้สึกตกใจ เขาได้เชื่อว่าวิทยาลัยทางพระคัมภีร์ได้สอนว่าพระคัมภีร์เป็นจริง หนึ่งในปัญหาที่เราได้พบในตะวันตกคือว่าวิทยาลัยทางศาสนศาสตร์และทางพระคัมภีร์ได้สร้างผู้รับใช้ผู้ซึ่งได้รับการฝึกฝนเพื่อคำถามเกี่ยวกับพระวจนะมากกว่าที่จะยอมรับพวกเขา นี่เป็นเพราะทำไมเราถึงได้มีผู้เลี้ยงมากมายในคริสตจักรผู้ที่ต้องนำฝูงแกะอย่างแท้จริง ถ้าคุณสนับสนุนการเงินใดๆต่อสถาบันหรือโรงเรียน ทำไมคุณไม่ถามว่าเขาได้สอนเรื่องอะไรบ้าง?

ในการสัมมนาที่หนึ่งผู้รับใช้สามคนจากกลุ่มที่เป็นโปรเตสแตนท์ได้เข้ามาหาผม พวกเขาได้พูดว่าสิ่งที่ผมได้สอนเป็นการบิดเบือนพระวจนะพระเจ้า ตามที่เราได้พูดเพราะเป็นความชัดเจนที่ว่าเรากำลังโต้แย้งจาก สองแนวทางที่แตกต่างกันจากพระคัมภีร์ ผมได้ถามพวกคนเหล่านี้พระเจ้าได้สร้างผู้หญิงอย่างไร ผมได้กล่าวว่าพระคัมภีร์ได้กล่าวว่าพระเจ้าได้สร้างผู้หญิงจากด้านข้างของอาดัม---เขาเชื่ออย่างนี้หรือไม่? คำตอบของพวกเขาเป็นบางอย่างเช่นนี้ “ใช่เราเชื่อว่าเป็นภาพสัญลักษณ์ที่พูดเป็นนัยที่นี่ว่าผู้ชายและผู้หญิงเป็นเนื้อเดียวกัน ผมได้ทวนคำถามซ้ำกล่าวว่าพระคัมภีร์อ้างว่านี่เป็นความจริงที่ว่าพระเจ้าได้สร้างผู้หญิง ไม่เพียงแต่เช่นนั้นแต่ในพันธ์สัญญาใหม่ใน ١ โครินร์ ١١.٨ เราได้อ่านที่อาจารย์เปาโลที่ว่าผู้หญิงมาจากผู้ชายและไม่ใช่ผู้ชายมาจากผู้หญิง สนับสนุนอย่างชัดเจนว่าเรื่องราวการทรงสร้างทางประวัติศาสตร์ในพระธรรมปฐมกาล

ไม่มีที่ไหนเลยที่เราได้รู้มา ดังนั้นผมได้ถามเขาถ้าเขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึงบนกางเขนในพันธ์สัญญาเดิมได้กล่าวว่า “ใช่เลย” เขากล่าว “เราเชื่ออย่างแน่นอนว่า ” แล้วผมก็ได้ถามเขาทำไมเขาจึงไม่เชื่อว่าพระเจ้าได้กระทำที่สีข้างของอาดัมและได้สร้างผู้หญิง เขาได้บอกผมว่าเป็นความแตกต่างระหว่างการยอมรับระหว่างระธรรมปฐมกาลที่เป็นบทกวีมากกว่ายอมรับว่าเป็นประวัติศาสตร์ มีการแนะนำว่าถ้าเป็นบทกวีก็ไม่สมควรเชื่อ

แน่ที่เดียวพระธรรมปฐมกาลเป็นประวัติศาสตร์ ยอกเหนือจากนี้ แม้ว่าบางตอนได้เขียนเป็นรูปแบบบทกวี ตามที่แท้จริงส่วนอื่นๆของพระวจนะที่พูดเช่นนั้นเราไม่ได้เชื่อหรือ?

พวกเขาได้แจ้งผมว่า พระวจนะส่วนมากไม่ได้เป็นดังที่พูดไว้ที่มีความสำคัญ แต่เป็นภาพทางศาสนศาสตร์ที่พูดเป็นนัย ผมได้ถามเขาเขาได้คิดอย่างไรว่าภาพสัญลักษณ์ทางศาสนศาสตร์เป็นอย่างไร เราได้ใช้รากฐานอะไรในการตัดสินใจ อะไรเป็นภาพทาง ศาสนศาสตร์ที่แท้จริงและพวกเขาควรทำอย่างไรที่จะแน่ใจว่าได้ใช้ข้อพระคัมภีร์อย่างถูกต้องหรือไม่? เขาได้รับสิทธิอำนาจจากไหนที่จะใช้พระคัมภีร์เป็นแนวทาง? พวกเขาพูดว่าการศึกษาของเขาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และศาสนศาสตร์กว่าเป็นปีที่สามารถทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้ตัดสินใจว่าอะไรได้เป็นทางที่ถูกต้องที่จะเข้าถึงพระคัมภีร์และตัดสินใจว่ารูปภาพสัญลักษณ์เหล่านี้เป็นอะไรแล้วผมก็ได้บอกเขาว่ามันเป็นเสียงราวกับว่าเขาได้ยึดเอาความเห็นง่ายๆเพื่อเป็นวิธีที่เข้าถึงพระคัมภีร์ พวกเขารู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นความเห็นที่ถูกต้อง? นี่เป็นที่ที่การสนทนาจบในทันทีทันใด คนเหล่านี้ต้องการที่จะบอกพระเจ้าว่าเขาได้พูดอะไรมากกว่าที่จะคิดว่าพระเจ้าได้บอกอะไรว่าอะไรคือความจริงนี่เป็นสถานะของผู้นำทางศาสนศาสตร์หลายคน

ได้เคยเรียนรู้มา พระเจ้าเป็นความจริง อะไรเป็นความจริงแท้ พระองค์เอง

Truth

หลังจากการเทศนาที่คริสตจักรในเวอร์จิเนีย ออสเตรเลีย หนึ่งในบรรดาผู้รับใช้ในท้องถิ่น(ผู้ที่ผิดหวังอย่างมาก)ได้บอกกับผมต่อหน้าจำนวนประชาชนมากมายว่าผมไม่มีสิทธิอะไรเลยที่จะบังคับการตีความพระคัมภีร์ต่อสิ่งอื่นๆ เขาได้ทำเสียงที่ดังและใส่อารมณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งนี้ผมพบว่าเป็นสิ่งที่แปลกที่เขาได้พยายามบังคับให้การตีความพระคัมภีร์ของเขาต่อผมและคนอื่นๆที่ฟังอยู่ เขาไม่สามารถเข้าใจเรื่องนั้น

มีหลายตอนตลอดพระคัมภีร์ในที่ซึ่งพระเจ้าตำหนิผู้นำทางศาสนาสำหรับการนำประชาชนให้หลงไป ตัวอย่างเช่น เยเรมีย์ ได้ถูกเรียกโดยพระเจ้าเพื่อเตือนพวกอิสราเอลเกี่ยวกับครูผู้สอนและนักบาชผู้ที่ไม่ประกาศความจริง พระเยซูได้ได้ตำหนิผู้นำทางศาสนามากมายอย่างเปิดเผย และได้เรียกพวกเขาว่า “ชาติงูร้าย” (มัทธิว ١٢.٣٤) “โอ ชาติงูร้าย เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากย่อมพูดจากสิ่งที่เต็มอยู่ในใจ”

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าเป็นการเตือนที่สามารถใช้กับหลายคนในปัจจุบันนี้ ผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้สอนพระวจนะพระเจ้า แต่แท้จริงได้เป็นเหตุให้คนส่วนมากได้ตกลงไปในนอกทาง คนส่วนมากจึงไม่มีข้อสงสัยที่จะระมัดระวังว่าการต่อต้านงานขององค์กรเกี่ยวกับการทรงสร้างโลกของพระเจ้าในทั่วทุกมุมโลกมาจากนักศาสนศาสตร์และผู้นำทางศาสนาอื่นๆ กลุ่มมนุษย์นิยมหลายกลุ่มที่มักจะให้ชื่อกับคนทั่วไปผู้ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนแต่เขากลับเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการเพื่อสนับสนุนเขา(บนโทรทัศน์ วิทยุ และในที่สาธารณะ) ในความพยายามของเขาเพื่อทำสงครามกับพันธ์กิจการทรงสร้าง ผมได้เห็นผู้รายงานทางโทรทัศน์และผู้ประกาศทางวิทยุตระหนักในข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถที่จะมีบางคนในรายการของเขาที่กล่าวอ้างว่าเป็นคริสเตียนแต่คัดต้านพระคัมภีร์และการทรงสร้างโลกของพระเจ้า

ณ การโต้วาทีเรื่องการทรงสร้างและวิวัฒนาการ นักวิวัฒนาการได้กล่าวว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างหรือไม่ เขาพูดว่าเขาเชื่อในการทรงสร้างและเขาก็เป็นคริสเตียน ดังนั้นเขาจึงโจมตีพระคัมภีร์และคริสเตียนอย่างรุนแรง พอถึงช่วงเวลาถามตอบ เขาได้บอกกับผู้ฟังเขาไม่ได้ใช้นิยามเหมือนกับคนอื่นๆ และแน่ทีเดียวเขาก็ไม่ยอมรับพระคัมภีร์ทั้งหมดและไม่มีอะไรที่จะต้องกระทำกันพื้นฐานพระคัมภีร์ โดนพื้นฐานเขาได้บรรยายพื้นฐานคริสเตียนโดยเชื่อว่าการยอมรับว่าพระคัมภีร์เป็นจริง แต่ยังอาจมีบางคนได้เชื่อว่าเขาเป็นคริสเตียนเพราะว่าเขาได้กล่าวในที่สาธารณะ เช่นนั้น นี่เป็นหมาป่าในร่างของแกะที่นำฝูงแกะ

ผู้เลี้ยงมากมายที่เลี้ยงแกะในโลกปัจจุบันนี้สามารถพบได้ในกลุ่มต่างๆต่อไปนี้ การเปลี่ยนไปจาก “ความอดทน” ไปสู่”การยอมทำตาม” ไปสู่ “ความผิดพลาด”

١ ความอดทน

หลายคนได้กล่าวว่าเราควรจะอดทนต่อคนอื่นๆทั่วไปที่เชื่อในวิวัฒนาการ ซึ่งเราจะต้องหลีกเลี่ยงที่จะต่อล้อต่อเถียงกับคนเหล่านั้นในสิ่งที่เขาพูด หรือว่าเราได้ถูกบอกว่าให้คิดหลายๆทางเลือกที่ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำมาก่อนเราและไม่ได้เป็น “หลักคำสอน” เกี่ยวกับมุมมองของเรา แน่นอนนี่เป็นรูปฟอร์มของหลักคำสอนในตัวมันเอง ที่กำลังกล่าวอ้างว่าเราไม่สามารถต่อต้านพระธรรมปฐมกาลที่ได้นำความหมายที่แท้จริงเพื่อที่จะแยกปรัชญาวิวัฒนาการ นักศาสนศาสตร์หลายคนได้ยืนกรานอย่างมีหลักคำสอนว่านักเรียนคิดในทุกมุมมองของการตีความพระธรรมปฐมกาล(เช่น ที่เกี่ยวกับพระเจ้า วิวัฒนาการ ความก้าวหน้าของการทรงสร้างโลกโดยพระเจ้า ทฤษฎีอายุ ทฤษฎีช่องว่าง การสร้างโลกในหกวัน) และ ดำเนินเพื่อให้แน่ใจว่าคนคนหนึ่งอาจพูดว่ามุมมองใดๆไม่ถูกต้องหรือถูกต้องแน่นอน ผมไม่แนะนำว่านักเรียนที่วิทยาลัยนั้นไม่ควรทำให้ตระหนักว่าสิ่งนี้มีทางอื่นอีก อย่างไรก็ตามผู้ที่สอนผิดในสิ่งเหล่านี้ควรจะไม่อยู่ในราบละเอียด

٢ การตกลงกัน

หลายคนกำลังพูดว่าคุฯไม่สามารถแน่ใจได้ว่าพระธรรมปฐมกาลมีความหมายอะไรหรือพูดอะไรและบางทีนักวิวัฒนาการทำถูกทั้งหมด เพราะว่ามีความเชื่อถืออย่างสูงต่อ นักการศึกษาและเอกสารจำนวนมากของนักวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์เรื่องราวของการวิวัฒนาการ คริสเตียนหลายคนก็ได้เพิ่มวิวัฒนาการลงไปในพระคัมภีร์

٣ ร่วมมือกัน

นี่เป็นสิ่งที่ได้ทนและคงอยู่ในคริสตจักรคือความผิดพลาดของวิวัฒนาการ สิ่งนี้ได้กลายเป็นที่ที่ปลอบประโลมเพราะว่ามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ยิ่งใหญ่ คนในคริสตจักรผู้ที่เชื่อในวิวัฒนาการรู้สึกว่าถูกคุกคามและพวกเขาก็สามารถทำงานด้วยกันได้ คนเช่นนั้นกล่าวอ้างว่าพระเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงแต่ถ้าเขาได้ไตร่ตรองอย่างตลอดของการวิวัฒนาการ แล้วจะเห็นว่าการวิวัฒนาการไม่มีสาระอะไรเลย

٤ การทำให้ไม่บริสุทธิ์

ด้วยคนทั่วไปได้เข้าไปพัวพันอย่างใกล้ชิดในความผิดพลาดของปรัชญาการวิวัฒนาการซึ่งทฤษฎีนี้ได้กลายเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปและมีการสอนในคริสตจักร รวีวาระศึกษา โรงเรียนคริสเตียน และ โปรแกรมการศึกษาทางศาสนาด้วยเช่นกันกับในชั้นเรียนโรงเรียนมัธยม ผลที่ตามมาคือประเด็นนี้ไม่ได้ทำให้คนทั่วไปยุ่งยากใจอีกต่อไป

٥ การยอมทำตามความผิดพลาด

วิวัฒนาการได้กลายเป็นที่ยอมรับในฐานะความจริง และใครก็ตามที่ที่ไม่เห็นด้วยก็เป็นผู้ สอนผิด เมื่อคนทั่วไปยอมรับวิวัฒนาการและยอมลดตำแหน่งพระธรรมปฐมกาลเป็นเพียงตำนานหรือเรื่องเล่าประปรายพวกเขาก็เริ่มที่จะตั้งคำถามสำหรับพระวจนะส่วนที่เหลือเช่นเดียวกัน การปฎิเสธรากฐานหลักข้อเชื่อที่อยู่ในพระคัมภีร์ปฐมกาลอย่างมีตรรกะได้นำไปสู่การปฎิเสธในพระคัมภีร์ทั้งหมด ศาสนศาสตร์เสรีนิยมได้กลายเป็นสิ่งที่ป่าเถื่อน

เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่เห็นว่าปฏิกริยาของศาสตราจารย์ในทางแปรเปลี่ยนของเผ่าพันธุ์และมนุษย์ที่โรงเรียนวิทยาศาสตร์ชีวภาพของมหาวิทยาลัยลาโทรบ เมื่อเขาได้ถูกถามในช่วงการโต้วาทีกับ ดร แกรี่ ปากเกอร์ เกี่ยวเนื่องกับความจริงที่ว่าคริสเตียนส่วนมากยอมรับในวิวัฒนาการ เขากล่าวว่า “ผมสามารถเพียงแต่เพิ่มเติมว่าคริสเตียนยุติธรรม มีแขนงแยกย่อยออกไปมาก อย่างชัดเจนที่ว่าคริสเตียนอยู่ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของการวิวัฒนาการ บางส่วนได้เห็นเพียงการให้กับศาสนศาสตร์ด้วยกันเอง ดูประหนึ่งว่าขั้นตอนสูงสุดคือวิวัฒนาการ พวกคริสเตียนก็เพียงแต่จะโยนศาสนศาสตร์ทิ้งและมีเหลืออยู่ก็แต่เหตุผลและระบบธรรมชาติในชีวิต “ แน่ทีเดียวเมื่อเขาจำได้ว่าไม่มีความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าและการวิวัฒนาการที่มีพระเจ้า—เว้นไว้แต่ว่าในยุคหลังพระเจ้าได้เพิ่มระบบ ดังนั้นในทางตรรกะวิวัฒนาการที่เกี่ยวกับพระเจ้าเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งที่ห่างไปจากวิวัฒนาการที่ไม่มีพระเจ้าและนี่เป็นขั้นสุดท้ายที่การประนีประนอมของสถานการณ์เช่นนั้น

ในหลายๆลัทธิความเชื่อมีการโต้แย้งกันอย่างจริงและมีการอภิปรายกันมากมายเกี่ยวเนื่องกับความผิดพลาดของพระคัมภีร์เมื่อเรากำลังอภิปรายเรื่องนี้สิ่งที่เป็นความเศร้าคือว่าโรงเรียนที่ประกาศมากมายไม่ได้นึกถึงสิ่งนี้หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในความสำคัญของพระธรรมปฐมกาลการยอมรับเหตุการณ์ที่มีความหมายที่แท้จริงตามตัวอักษรเป็นรากฐานของคำถามที่เกี่ยวกับความผิดพลาดทางพระคัมภีร์ ถ้าการสัมมนาในเรื่องความผิดพลาดของพระคัมภีร์ได้สองประเด็นนี้คือ หนึ่งปัญหาที่เหลืออยู่จะหายไปหมดอย่างรวดเร็ว สี่เป็นเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ว่าทำไม ประโยคข้อเชื่อได้เขียนเป็นประโยคประจำโรงเรียนคริสเตียน องค์กรคริสเตียน คริสตจักร และการสัมมนา ควรจะเขียนเป็นแบบพิเศษเฉพาะ ที่เกี่ยวพันกับพระธรรมปฐมกาล เป็นที่ที่ไม่ดีเพียงพอที่จะพูดว่าเขาเชื่อในการทรงสร้างของพระเจ้า พวกเขาต้องการที่จะเข้าใจถึงความสำคัญและการตรงจุดตรงประเด็นของการยอมรับความหมายที่แท้จริงของคำในพระธรรมปฐมกาล และปฎิเสธวิวัฒนาการอบ่างสิ้นเชิงและเข้าใจถึงรากฐานของธรรมชาติในพระธรรมปฐมกาลและส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์

อย่างไม่ดีเลยการเคลื่อนไหวของโรงเรียนคริสเตียนส่วนมากได้ขาดความเข้าใจ ผมรู้ว่าโรงเรียนคริสเตียนที่ห่วงใยอย่างมากกับมุมมองของครูและการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์แล้วด้วยสิ่งที่เขาเชื่อและเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นรากฐานของการทรงสร้าง นี่ก็หมายความว่าเขาไม่เข้าใจการศึกษาของคริสเตียน

ตามที่พระธรรมโฮเชยาได้กล่าวไว้ว่า”ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจเขาก็จะต้องล้มลง”(โฮเชยา 4.14)ในขณะที่ผู้เลี้ยงแกะก็ได้นำแกะออกนอกทาง ตามที่ได้บันทึกไว้ใน เยเรมีห์ 5.31 “คือผู้พยากรณ์ได้พยากรณ์เท็จ และบรรดาปุโรหิตก็ปกครองตามการชี้นิ้วของเขา และประชาชนของเราชอบที่มีการอย่างนี้ แต่เจ้าทั้งหลายจะกระทำอะไรเมื่อกาลสุดปลายมาถึง"

อพยพ ٣٠.١١ “พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า”

เด็กคนหนึ่งในโรงเรียนคริสเตียนได้ถามครู “ทำมใครก็ตามสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในหกวันจากไม่มีอะไรเลย?” เด็กอีกคนก็ได้ตอบอย่างทันทีว่า”แต่พระเจ้าไม่ได้เป็นใครก็ได้”

In Six Days

บทที่ ١١ การทรงสร้าง น้ำท่วมโลก ไฟที่กำลังจะมา

٢ เปโตร ٣.٣-٧ “3:3 จงรู้ข้อนี้ก่อน คือในวันสุดท้ายคนที่ชอบเยาะเย้ยจะเกิดขึ้นและดำเนินตามใจปรารถนาชั่วของตน 3:4 และจะถามว่า "คำที่ทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะเสด็จมานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่าตั้งแต่บรรพบุรุษหลับล่วงไปแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอยู่เหมือนที่ได้เป็นอยู่ตั้งแต่เดิมทรงสร้างโลก" 3:5 เพราะว่าเขาแกล้งลืมข้อนี้เสีย คือโดยคำตรัสของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ได้อุบัติขึ้นตั้งแต่โบราณ และแผ่นดินโลกจึงได้บังเกิดขึ้นแยกออกจากน้ำและท่ามกลางน้ำ 3:6 โดยเหตุเหล่านั้น พระองค์จึงได้ทรงบันดาลให้น้ำมาท่วมทำลายโลกที่มีอยู่ในเวลานั้น 3:7 แต่ว่าท้องฟ้าอากาศและแผ่นดินโลกที่อยู่เดี๋ยวนี้ พระองค์ทรงเก็บงำไว้โดยคำตรัสนั้นสำหรับให้ไฟเผา คือเก็บไว้จนถึงวันทรงพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาคนอธรรม “

“ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินต่อไป.........”

สังเกตว่าพระวจนะได้เตือนเราว่าในวันสุดท้ายประชาชาติจะกล่าวว่า”ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินต่อไปเหมือนที่มีอยู่เพราะว่าเป็นการเริ่มต้นการทรงสร้าง” นักวิวัฒนาการบอกเราว่าโลกนี้ไดเกิดขึ้นเป็นเวลาล้านปีและชีวิตก็ได้มีวิวัฒนาการบนโลกนี้เป็นเวลาล้านปีมาแล้ว คริสเตียนส่วนมากก็ได้ยึดติดกับความเชื่อเช่นนี้ นักธรณีวิทยาได้มีความคิดในกระบวนการที่เราได้ดำเนินการในในปัจจุบันซึ่งใช้เวลาเป็นล้านปีและในอนาคตก็จะเป็นทำนองเดียวกันคือต้องใช้เวลาอีกเป็นล้านปี คำทางเทคนิคที่ใช้กันในธรณีวิทยาสำหรับความเชื่อเช่นนี้คือ “ยูนิฟอร์มมิทาเรียมนิซึม” เช่น พิพิธภัณฑ์ทะเลทรายที่เมืองทักสัน มลรัฐอริโซนาไม่เพียงแต่แสดงให้ประชาชนได้เห็นว่าอะไรที่เกิดขึ้นและสนับสนุนในช่วงล้านปีที่ผ่านมาแต่ยังได้แสดงว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้เชื่อจะเกิดขึ้นในอริโซนากว่าล้านปีเช่นกัน

นักวิวัฒนาการ ผู้ที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้า และนักศาสนาสตร์ใช้วลี”ปัจจุบันเป็นกุญแจไปสู่อดีต”ในอีกทางหนึ่งเขาพูดว่าหนทางที่จะเข้าใจอดีตคือต้องสังเกตว่าอะไรเกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น นักวิทยาศาสตร์พูดว่าเพราะว่าซากฟอสซิลยากมากที่จะฟอร์มตัวขึ้นมาในโลกปัจจุบัน ชั้นของหินที่กว้างใหญ่ประกอบไปด้วยฟอสซิลเป็นพันล้านชนิดบนพื้นผิวชองโลกซึ่งใช้เวลาเป็นล้านปี

นักวิวัฒนาการได้บอกกับเราว่าเพราะเราได้สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเกิดขึ้นทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้ได้เคยเกิดขึ้นในอดีต ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติจึงเป็นหนึ่งในกลไกที่เกี่ยวพันกันใน การคืบหน้าของวิวัฒนาการที่ทึกทักขึ้นมา

ในอีกทางหนึ่งพระคัมภีร์ได้บอกเราว่าได้เป็นเวลาเมื่อไม่มีความบาปและดังนั้นไม่มีทั้งความตายของสัตว์และมนุษย์ ไม่มีความเสียใจ ไม่มีการทำผิด กระบวนการการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเป็นสิ่งที่ผิดที่เกิดขึ้นในพงศ์พันธ์ของมนุษย์ และพวกเหล่านี้ก็เป็นอันตรายอย่างแท้จริง ใครก็ตามที่เชื่อในวิวัฒนาการเป็นที่ต้องมีสมมติฐานว่าวิวัฒนาการที่ได้กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันสามารถที่จะพูดได้ว่าสิ่งที่พวกเราได้เห็นในปัจจุบันนี้เป็นกระบวนการที่เหมือนที่ได้เกิดขึ้นเมื่อล้านปีก่อนมาแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการยืนยันคริสเตียนผู้ที่เชื่อในวิวัฒนาการควรจะเชื่อว่ามนุษย์ยังคงมีวิวัฒนาการในปัจจุบันนี้

เราจะมีหลักฐานที่แน่ชัดได้อย่างไรในรายละเอียดของเหตุการณ์ที่สมมติว่าเกิดขึ้นในอดีต? วิธีหนึ่งที่จะพบพยานหลักฐานที่ว่าใครอยู่ที่ตรงนั้นหรือค้นหาการบันทึกที่ได้เขียนไว้โดยที่พบานหลักฐาน ดังนั้นทางเดียวเท่านั้นที่เราได้เคยรู้อย่างแน่ใจและแน่นอนที่ว่าอะไรได้เกิดขึ้นที่เกี่ยวกับธรณีวิทยาในอดีตคือว่าถ้ามรบางคนผู้ที่อยู่ที่นั่น ณ เวลานั้น (มีพยานอย่างหนึ่ง) ผู้ที่สามารถบอกเราว่าไม่ว่ากระบวนการที่เกี่ยวกับธรณีวิทยาได้เกิดขึ้นโดยเหมือนกันอยู่เสมอหรือไม่ว่ากระบวนการที่เกี่ยวกับธรณีวิทยาได้เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน พระคัมภีร์ได้เปิดเผยถึงการมีพระเจ้าองค์เดียวผู้ที่ไม่เพียงแต่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างแต่ยังเป็นผู้ที่อยู่ในตอนนั้นเพราะว่า พระองค์อยู่นอกเหนือเวลา โดยความจริงแล้วพระเจ้าทรงสร้างเวลา พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าพระเจ้าได้เคลื่อนมนุษย์ทางพระวิญญาณของพระองค์ที่คลใจให้มนุษย์ได้บันทึกเป็นพระคำของพระองค์และสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นคำของมนุษย์แต่เป็นพระคำของพระเจ้า (١ ธก ٢:١٣) กล่าวว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงขอบพระคุณพระเจ้าไม่หยุดหย่อน เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านทั้งหลายที่เชื่อด้วย” และ (٢ ปต ١:٢٠-٢١) กล่าวว่า “จงรู้ข้อนี้ก่อน คือว่าคำพยากรณ์ทุกคำที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ไม่มีใครตีความได้ตามลำพังใจของตนเอง ด้วยว่าคำพยากรณ์ในอดีตนั้นไม่ได้มาจากความประสงค์ของมนุษย์ แต่พวกผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้กล่าวคำตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา” พระธรรมปฐมกาลเป็นพระธรรมที่ได้บอกเราถึงเหตุการณ์การทรงสร้างโลก แผ่นดินฟ้าสวรรค์และมีผลจนถึงยุคปัจจุบันนี้ ดังนั้นปัจจุบันไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นกุญแจไปสู่อดีต แต่ตรงกันข้ามการวิวัฒนาการได้เป็นกุญแจย้อนไปในอดีต

การเปิดเผยในพระธรรมปฐมกาลได้บอกเราเกี่ยวกับเหตุการณ์เช่นการทรงสร้างโลก น้ำท่วมโลก และหารสร้างหอบาเบล นี่เป็นเหตุการณ์ที่ได้ทำให้โลกเกิด ธรณีวิทยา ภูมิวิทยา ชีววิทยา และศาสตร์อื่นๆ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น เราจะต้องตระหนักว่าอะไรได้เกิดขึ้นในอดีตที่เป็นกุญแจมาสู่ปัจจุบันนี้ การเข้ามาสู่บาปในโลกได้อธิบายว่าทำไมมนุษย์จึงมีความตายและทำไมมนุษย์จึงทำผิดซึ่งเกิดขึ้นในพงศ์พันธ์มนุษย์การทำลายล้างเนื่องจากสาเหตุน้ำท่วมโลกในสมัยโนอาห์สามารถอธิบายได้โดยซากฟอสซิล เหตุการณ์ที่หอบาเบลช่วยเราให้เราได้เข้าใจว่ามีจุดกำเนิดของเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไปทั่วโลก

ทุกวันนี้การวิวัฒนาการปฎิเสธว่าการบันทึกทางพระคัมภีร์สามารถนำมาอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างจริงจัง พวกเขาได้ให้ความศรัทธาในความเชื่อของเขาที่ว่าผู้พยากรณ์ใน ٢ เปโตร บทที่ ٢ ได้ทำสำเร็จแล้วก่อนที่เราได้เห็น

“จงใจที่จะไม่รับรู้”

ในส่วนต่อไปของการพยากรณ์นี้เราได้ถูกบอกว่ามนุษย์ตั้งใจที่จะปฎิเสธสามอย่าง สังเกตว่าได้มีการเน้นเพื่อจงใจที่จะปฎิเสธ สามสิ่ง หรือแปลเป็นความหมายว่า “ตั้งใจไม่รับรู้” ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นการกระทำที่จงใจของคนที่ไม่มีความเชื่อ

١. พระเจ้าสร้างโลกที่เริ่มต้นได้มีน้ำปกคลุมไปทั่ว(หมายความว่าในปฐมกาลพื้นผิวเย็น ไม่ได้หลอมละลาย เพมือนอย่างที่นักวิวัฒนาการการสอน

٢. พระเจ้าได้พิพากษาโลกนี้โดยรวมทั้งโลก ในยุคโนอาห์น้ำได้ท่วมทั้งโลก

٣. พระเจ้าจะทรงพิพากษาโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่ในเวลาข้างหน้าพระเจ้าจะตัดสินด้วยไฟ

คนทั่วไปนิยมเขียนคำสุนทรพจน์ว่า”ถ้ามีหลักฐานมากมายที่ว่าพระเจ้าได้สร้างโลกและได้ทำให้เกิดน้ำท่วมโลก แล้วที่แน่นอนนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายคงจะเชื่อถืออย่างนี้ “คำตอบมีใน ٢ เปโตร ٣ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายในการให้พยานหลักฐานที่สามารถโน้มน้าวคนทั่วไป สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ต้องการที่จะถูกชักจูง เราได้อ่านใน โรม ١:٢٠ ว่า ...ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย … “ นี่เป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะโน้มน้าวให้คนทุกคนเชื่อว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้าง มากเสียจนถ้าเราไม่เชื่อเราก็จะถูกลงทา ยิ่งไปกว่านั้น โรม ١:١٨ กล่าวว่า...เพราะว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ต่อความอธรรมและความไม่ชอบธรรมทั้งมวลของมนุษย์ ที่เอาความไม่ชอบธรรมนั้นขัดขวางความจริง….สิ่งนี้ไม่ได้เป็นสาระที่พระคัมภีร์ขาดหลักฐานที่จะชักนำให้เชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่ต้องการมีความเชื่อในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เด่นชัด ถ้าคนทั้งหลายเชื่อวางใจในพระเจ้าพวกเขาเหล่านั้นก็จะมีความรู้ สิทธิอำนาจของพระองค์และการเชื่อฟังกฎที่พระองค์ได้วางไว้ อย่างไรก็ตามมนุษยชาติทุกคนก็ได้ทนทุกข์ยากลำบากในปัญหาที่เหมือนกัน-----ความบาปที่อาดัมได้กระทำในสวนเอเดน---โรคต่างๆ ที่เป็นอยู่ในมนุษย์ทุกคน ความบาปของอาดัมคือการกบฏต่อพระเจ้า ดังนี้ในพระคัมภีร์จึงได้ยอมให้มนุษย์ตกอยู่ในความบาป ทำให้มนุษย์ต้องการการล้างบาปโดยพระโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์

เป็นการง่ายที่จะกล่าวว่า “ตั้งใจที่จะไม่รับรู้” ในการโต้ตอบกันในการอภิปรายเรื่อง การทรงสร้างและวิวัฒนาการ ในกรณีส่วนใหญ่ วิวัฒนาการไม่ได้ให้ความสนใจต่อข้อมูล พยานหลักฐานและข้อมูลข่าสสารเกี่ยวกับการทรงสร้างที่มีคุณค่าพวกที่เชื่อในการวิวัฒนาการพยายามโจมตีการทรงสร้างและพยายามทำลายความน่าเชื่อถือ พวกนี้จะไม่สนใจในข้อมูล พยานหลักฐานที่มีความหมายเป็นตรรกกะ และสิ่งที่สำคัญในการทรงสร้างที่เกี่ยวพันกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่เขาได้เชื่อและศรัทธาในศาสนาวิวัฒนาการ

ธรณีวิทยาในปัจจุบันนี้ได้บอกแก่เราว่าไม่เคยมีน้ำท่วมทั้งโลกดังที่ได้บรรยายไว้ในพระคัมภีร์ เราได้ถูกสอนว่าเป็นระยะเวลาล้านปีที่โลกได้มีวิวัฒนาการและได้เกิดซากพืช ซากสัตว์ตามชั้นหินต่างๆในพื้นผิวของโลกอย่างไรก็ตามผู้ที่เชื่อในการทรงสร้างได้อธิบายว่าซากพืช ซากสัตว์เหล่านั้นเกิดขึ้นจากการที่พระเจ้าได้ทำให้น้ำท่วมโลกในสมัยโนอาห์ แต่นักวิวัฒนาการปฎิเสธความจริงเรื่องนี้เป็นเพราะว่าความจริงตามพระคัมภีร์เป็นการขัดแย้งและเป็นการปฎิเสธความเชื่อในการวิวัฒนาการ พวกคนเหล่านั้นจะพยายามปฎิเสธความจริงใดๆที่ขัดแย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการนั่นคือ “การจงใจไม่รับรู้” และนี่เป็นการพยากรณ์ที่สำเร็จก่อนที่ตะเห็นว่าความจริงคืออะไร

เรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์ได้บอกเราเกี่ยวกับความคาดหวังที่จะดำเนินไปในแนวทางโลกล้านปี ตัวอย่างเช่นพิพิธภัณฑ์ทะเลทรายใน ทักซา รัฐอริโซนา ได้ชื่นชมอย่างมากในเรื่องโลกล้านปี ซึ่งได้กล่าวไว้แล้วว่าที่นี่ได้มีการแสดงหลายอย่างที่เกี่ยวกับโลกล้านปี ผู้คนที่เข้าชมก็มีคำถามว่า “พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาได้นำมาแสดงมีอายุเป็นล้านๆปีในปัจจุบันนี้?”

คำตอบคือเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาแสดงนั้นมีอายุเป็นล้านปี นี่เป็นเพียงการเดาเอาเท่านั้นเอง ถ้านักวิทยาศาสตร์เห็นด้วยกับพระคัมภีร์ เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้าง เหตุการณ์น้ำท่วมโลกในยุคโนอาห์เป็นจริงเขาจะตอบปัญหานี้แตกต่างออกไป

เพราะว่าองค์พระเยซูคริสต์ได้กล่าวไว้ใน มธ ٢٤:٣٧-٣٩ ว่า “ด้วยสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวา และน้ำท่วมได้มากวาดเอาพวกเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้นด้วย”แต่พียงพระเจ้าได้สร้างโลกโดยพระวจนะของพระองค์และได้ส่งให้น้ำท่วมโลกดังนั้นพระเจ้าก็จะพิพากษาโลกเช่นเดียวกันโดยไฟ

บทสรุป

โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และ ดวงดาว เป็นสสารสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างด้วยพระวจนะของพระองค์ ร่องรอยของซากฟอสซิลที่ได้เป็นความทรงจำที่ได้เกิดจากการที่น้ำท่วมโลกในสมัยโนอาห์ นี่เป็นการที่พระเจ้าพิพากษาโลกด้วยน้ำ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นการเตือน ชาย หญิง เด็ก ว่าพระเจ้าได้ใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อปกป้องในการพิพากษาในอดีตฉันใด พระเจ้าก็จะใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อการพิพากษาในอนาคตฉันนั้น

The Gospel

٢ ปต ٣:١١-١٢ ได้กล่าวว่า “เมื่อเห็นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงจะต้องสลายไปหมดสิ้นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนเช่นใดในชีวิตที่บริสุทธิ์และที่เป็นอย่างพระเจ้า คอยท่าและเร่งที่จะให้วันของพระเจ้ามาถึง เมื่อไฟจะติดท้องฟ้าอากาศให้ละลายไป และโลกธาตุจะละลายไปด้วยไฟอันร้อนยิ่ง”

นี่เป็นการพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องกับในวันสุดท้าย ดังนั้นให้เราเข้มแข็งและกล้าหาญในการเป็นพยานในพระเจ้าของเรา พระเจ้าผู้ทรงสร้าง วิวรณ์ ٢١:٣-٤ “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากสวรรค์ว่า "ดูเถิด พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

ภาคผนวกที่ ١

เหตุผล ٢٠ ประการ ที่ ทำไม พระธรรมปฐมกาลและวิวัฒนาการไม่มีความสอดคล้องกัน

คนทั่วไปเชื่อว่าพวกเขาสามรถเพิ่มเติมวิวัฒนาการลงไปในพระคัมภีร์ พวกเขาคิดว่าการที่เพิ่มวิวัฒนาการเข้าไปในพระคัมภีร์เช่นนี้เขาสามารถที่จะอธิบายการเกิดของสิ่งที่มีชีวิตเป็นเพราะผลมาจากที่พระเจ้าได้ใช้กระบวนวิวัฒนาการ สภาวะเช่นนี้เรียกว่า “วิวัฒนาการของพระเจ้า”

อย่างไรก็ตามสิ่งทั้งปวงเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิดเพี้ยนไปจากพระวจนะของพระเจ้า

١. ไม่มีความตายก่อนที่อาดัมล้มลง

วิวัฒนาการสอนว่าช่วงยุคล้านปีก่อนที่มีมนุษย์มีสิ่งต่างๆได้มีชีวิตและมีความตาย สิ่งที่มีชีวิตเหล่านั้นได้ต่อสู้และ ดิ้นรน,ฆ่าและถูกฆ่า เป็นโลกที่ไร้ความปราณี—“เป็นธรรมชาติที่มีสีแดงและความโหดร้าย” ประวัติศาสตร์ของวิวัฒนาการเป็นประวัติศาสตร์ของความตาย “ความตายได้เกิดขึ้นจากการเริ่มต้น”

พระคัมภีร์ได้สอนไว้อย่างชัดเจนว่าความตายเป็นความตายฝ่ายร่างกายและเป็นการตายฝ่ายจิตวิญญาณของมนุษย์ และความตายนี้ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อ อาดัมได้ทำบาป”

ในโรม บทที่ ٥ ข้อที่ ١٢ อัครทูตรเปาโลได้เขียนไว้ว่า “เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป” ใน พระธรรม ١ โครินธ์ ١٥:٢١-٢٢ “เพราะว่าความตายได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้อุบัติขึ้นเพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันนั้น เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น”

ในพระธรรมปฐมกาล ٣:٢٢-٢٣ กล่าวว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด มนุษย์กลายมาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราที่รู้จักความดีและความชั่ว บัดนี้เกรงว่าเขาจะยื่นมือไปหยิบผลจากต้นไม้แห่งชีวิตมากินด้วยกัน และมีชีวิตนิรันดร์ตลอดไป” และข้อ ٢٣ “ เหตุฉะนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าจึงทรงให้เขาออกไปจากสวนเอเดน เพื่อทำไร่ไถนาจากที่ดินที่เขากำเนิดมานั้น” อาดัมก็ได้ถูกไล่ออกไปจากสวนดังนั้นอาดัมจึงไม่มีชีวิตอีกตลอดไป กล่าวอีกอย่างหนึ่งเขาควรต้องตาย

แต่แล้วสัตว์ต่างๆเล่า? ความตายนั้นได้เป็นส่วนของการทรงสร้างสัตว์โลกหรือไม่? มีเหตุผลหลายประการที่ทำไมผมถึงเชื่อว่าสัตว์ตายเช่นเดียวกับมนุษย์ตายและไม่ได้มีความตายของสัตว์ก่อนการล้มลง

(1)สัตว์ทั้งหลายได้ตายจากการแก่ตายหรือไม่? ก่อนการล้มลงสัตว์ไม่ได้ตายเมื่อมีอายุมากเพราะว่าในพระธรรมโรมบทที่ ٨ ได้บอกเราว่าสิ่งที่สกปรกและเน่าเปื่อยผุพังได้เข้ามาในโลกนี้เพียงแต่ความบาป ความตายโดยความชรามีความหมายว่าร่างกายของสัตว์อาจจะเสื่อมลงและความตายก็ได้เกิดขึ้น สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าได้พรรณนาถึงสรรพสิ่งทั้งปวงก่อนที่ความบาปเข้ามาในโลกคือพระเจ้าเห็นว่า”ดี” อิสยาห์٥١:٦ บอกเราว่าภายหลังความบาป

พระคัมภีร์กล่าว “จงแหงนตาดูฟ้าสวรรค์ และมองดูโลกเบื้องล่าง เพราะว่าฟ้าสวรรค์จะสูญสิ้นไปเหมือนควัน และแผ่นดินโลกจะร่อยหรอไปเหมือนอย่างเสื้อผ้า และเขาทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในนั้นจะตายไปเหมือนกัน แต่ความรอดของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุดเลย” ในพระธรรมโรม٨:٢٢ กล่าวว่า “เรารู้อยู่ว่า บรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้น กำลังคร่ำครวญและผจญความทุกข์ลำบากเจ็บปวดด้วยกันมาจนทุกวันนี้” ในพระธรรมโรม บทที่ ٨:٢١ “ว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเปื่อยเน่า และจะเข้าในเสรีภาพซึ่งมีสง่าราศีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้าด้วย”

ในฐานะที่เราได้อาศัยอยู่ในโลกที่มีทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วเป็นการยากที่จะเข้าใจว่าการมีอายุไม่ได้เกิดมาก่อนการล้มลงในโลก อย่างไรก็ตาม เราได้แสดงภาพหนึ่งของคำตอบจากพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ ٨:٤ “ในเวลาสี่สิบปีนั้น เสื้อผ้าของท่านก็ไม่ขาดวิ่น และเท้าของท่านก็ไม่บวม”พระเจ้าได้รักษาชนชาติอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารตลอดเวลา สี่สิบปี นี่เป็นสิ่งที่แปลก มหัศจรรย์อย่างมากที่พระเจ้าได้จัดเตรียมและรักษาประชากรของพระองค์ในสถานการณ์เฉพาะ

เราไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เสื้อผ้าของเราก็เก่าและขาดไปแต่อย่างไรก็ตามเมื่อพระเจ้าได้ปกปักษ์รักษาสิ่งทั้งปวง ความเสื่อมสลายก็จะไม่เกิดขึ้น นี่เป็นที่ชัดเจนว่าก่อนการล้มลงในบาปทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงสร้างนั้นพระอจ้าเห็นว่า”ดี”และไม่มีสิ่งใดเลยที่เสื่อมสลายไป

(2)สัตว์ทั้งหลายอาจตายเมื่ออาดัมหรือสัตว์อื่นๆกินซึ่งกันแลกันเพื่อเป็นอาหาร? คำตอบคือ “ไม่” ไม่เพียงแต่สัตว์ แต่ผู้ชายและผู้หญิงได้ถูกบอกว่าพวกเขากินเพียงพืช จากพระธรรมปฐมกาลบทที่ ١:٢٩ กล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราให้บรรดาต้นผักที่มีเมล็ดซึ่งอยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก และบรรดาต้นไม้ซึ่งมีเมล็ดในผลแก่เจ้า ให้เป็นอาหารแก่เจ้า”

สัตว์ทั้งหลายไม่ได้ตายจากการกินซึ่งกันและกัน พระธรรมปฐมกาลบทที่١:٣٠ กล่าวว่าอาหารทั้งปวงเป็นพืช พระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างและเห็นว่าดี สัตว์ไม่ได้เกิดมาแล้วฆ่าซึ่งกันและกัน สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับความหมายของคำว่า”ดี” พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่แสนดี ไม่ได้สร้างสัตว์ขึ้นมาเพื่อว่าสัตว์ที่แข็งแรงกว่าจะทำร้ายสัตว์ที่อ่อนแอกว่าเพื่อความอยู่รอด และก็เช่นเดียวกันสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นพระองค์เห็นว่าดีไม่ได้ให้สิ่งเหล่านี้ดิ้นรนและต่อสู้หรือเข่นฆ่ากัน

(3)สัตว์ทั้งปวงอาจตายอย่างไม่ได้คาดมาก่อน? อีกครั้งหนึ่งที่สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับแนวคิด “ดี” คำถามเช่นนี้ได้มองข้ามความยิ่งใหญ่และความน่าเกรงกลัวของพระเจ้า เราได้เห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงดำรงค์ทุกสิ่งแม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ขาดวิ่นไป ก่อนที่บาปเข้ามาในโลก ก็ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับความตาย---พระเจ้าได้ควบคุมการทรงสร้างไว้ทั้งหมดและดำรงค์ทุกสิ่งไว้ เต็มหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีการตายและการเสื่อมสลาย ความตายไม่ได้เป็นโอกาสหรือสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนพระเจ้าได้ทรงสร้างอาดัมให้เหมือนอย่างพระฉายพระองค์และสัตว์ตามชนิดของมัน พระเจ้าสร้างสัตว์สำหรับมนุษย์ สำหรับความตายและการหลั่งเลือดได้เข้ามาในโลกในฐานะที่พระเจ้าทรงพิพากษา เพราะมนุษย์กบฏต่อพระเจ้า แต่ในเวลาเดียวกันความตายก็ได้หมายความถึงสิ่งที่มนุษย์ได้ถูกไถ่ ดังนั้นการหลั่งเลือดไม่ได้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์ล้มลงในบาป

ไม่ได้มีการหลั่งเลือกก่อนอาดัมทำบาป ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์และความตายก็ไม่ได้เป็นส่วนของสัตว์ที่เป็นอยู่ อย่างไรก็ตามอาดัมทำบาปและพระเจ้าทรงทำพันธ์สัญญาต่ออาดัมในการที่ต้องได้รับผลแห่งความไม่เชื่อฟัง เราได้รู้ว่าพระเจ้าเท่านั้นที่ได้ต้องหลั่งเลือดครั้งแรกเพราะว่าพะองค์ได้ให้อาดัมและอีฟสวมใส่เสื้อผ้าจากพระธรรมปฐมกาล ٣:٢١ “พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงทำเสื้อคลุมด้วยหนังสัตว์แก่อาดัมและภรรยาและสวมใส่ให้เขาทั้งสอง” จากพระธรรมปฐมกาล ٤:٤ “เช่นกันอาแบลได้นำผลแรกจากฝูงแกะของเขาและไขมันของแกะ พระเยโฮวาห์ทรงพอพระทัยต่ออาแบลและเครื่องบูชาของเขา” นี่เป็นหลักฐานที่ว่าการถวายเครื่องบูชาเกี่ยวกับเลือดได้เป็นที่เข้าใจกันผู้เขียนพระธรรมฮิบรูได้กล่าวไว้ในพระธรรมฮิบรู ٩:٢٢ และตามพระราชบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะถูกชำระด้วยโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย” พระเจ้าได้ทำให้สำเร็จสองประการหลังจากการล้มลงในบาป

--มนุษย์นั้นสมควรตายเพราะความผิดในความความบาปของเขา

--เชื้อสายของผู้หญิงจะทำให้หัวของงูร้ายฟกช้ำและจะทำให้หัวของงูแหลกไป ดังนั้นความตายและเลือดเป็นผลของความผิดบาป พระเยซูคริสต์เป็นอาดัมสุดท้ายที่เกิดมาด้วยความตายและการหลั่งเลือดออกบนไม้กางเขนแต่พระองค์ได้รับชัยชนะ มีสง่าราศี และได้ฟื้นจากความตายเพื่อไถ่บาปให้แก่มนุษย์ ถ้าความตายและการหลั่งเลือดออกมีอยู่ก่อนการที่มนุษย์ทำบาป การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ก็ไร้ความหมาย

การวิวัฒนาการสอนว่าความตายและการหลั่งเลือดมีอยู่ในตอนเริ่มต้น ยุคล้านปีของสัตว์ทั้งปวงต่อสู้กันเพื่อความอยู่รอด—การหลั่งเลือดและการกินซึ่งกันและกัน—เป็นส่วนหนึ่งของกลไกของวิวัฒนาการซึ่งได้นำมนุษย์ไปสู่การเป็นอยู่และเป็นปฏิปักษ์อย่างแน่นอนต่อประวัติศาสตร์โลกพระคัมภีร์

วิวัฒนาการกล่าวถึงความตาย การดิ้นรนทำให้เกิดมีมนุษย์ พระคัมภีร์กล่าวว่าการกระทำของมนุษย์นำไปสู่ความบาป และความบาปนำไปสู่ความตาย นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันกับวิวัฒนาการ ถ้าวิวัฒนาการเป็นสิ่งที่ถูก เหตุผลที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ไม่กางเขนก็จะถูกทำลายทั้งหมด

٢. อาดัมไม่ได้ล้มลงในบาป

คริสเตียนพูดเกี่ยวกับเรื่องความจริงที่ว่า อาดัมล้มลงในบาป การล้มลงในบาปของอาดัมเป็นการอ้างถึงความจริงที่ว่าเมื่อพระเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งนั้นทุกอย่างถูกทำให้สมบูรณ์ อย่างไรก็ตามเพราะการกระทำของอาดัม อาดัมก็ต้องรับผิดชอบสำหรับบางสิ่งที่ได้เกิดขึ้นอย่างเลวร้ายต่อการทรงสร้างทั้งมวล พระธรรม โรม ٨:٢٢ กล่าวว่า “เรารู้อยู่ว่า บรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้น กำลังคร่ำครวญและผจญความทุกข์ลำบากเจ็บปวดด้วยกันมาจนทุกวันนี้” เพราะว่า อาดัมทำบาป พระเจ้าก็ได้สาปแช่งสิ่งทั้งปวงที่พระองค์สร้าง รวมทั้งดวงดาวทั้งหลาย,มด,ช้าง และประชากรทั้งหลาย

ในพระธรรมกิจการ ٣:١٤ กล่าวว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าตรัสแก่งูนั้นว่า “เพราะเหตุที่เจ้าได้กระทำเช่นนี้ เจ้าจึงถูกสาปแช่งมากกว่าบรรดาสัตว์ใช้งาน และบรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง เจ้าจะเลื้อยไปด้วยท้องของเจ้า และเจ้าจะกินผงคลีดินตลอดวันเวลาในชีวิตของเจ้า” และข้อที่ ١٧ กล่าวว่า พระองค์ตรัสแก่อาดัมว่า “เพราะเหตุเจ้าได้ฟังเสียงของภรรยาเจ้า และได้กินผลจากต้นไม้ ซึ่งเราได้สั่งเจ้าว่า เจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปแช่งเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินนั้นด้วยความทุกข์ยากตลอดวันเวลาในชีวิตของเจ้า”

--ความทุกข์ยาก และการคร่ำครวญในความเจ็บปวด

ในอีกทางหนึ่งสิ่งทั้งปวงได้เสื่อมลง ไม่มีอะไรดี ความเชื่อในการวิวัฒนาการบอกเราว่าสิ่งทั้งปวงได้กำลังปรับปรุงให้ดีขึ้น—ชีวิตกำลังวิวัฒนาการไปสู่ความสลับซับซ้อนมากขึ้น มากขึ้น สำหรับพวกคริสเตียนเหล่านั้นผู้ที่เชื่อในวิวัฒนาการ มนุษย์ทั้งปวงก็ต้องมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น---ไม่มีการเลวลง ตามความจริงถ้าอาดัมเป็นส่วนหนึ่งของกความก้าวหน้าของวิวัฒนาการ แล้วการล้มลงในบาปจะ หวนกลับขึ้นอย่างไร? บาปคืออะไร? ความบาปได้ถ่ายทอดโดยลักษณะของสัตว์หรือ เป็นเพราะการล้มลงในบาปของมนุษย์โดยความไม่เชื่อฟัง?

เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้เข้าใจว่าได้มีอะไรกำลังเกิดขึ้นในโลกเรานี้ เขาพบว่าการสืบทอดทางพันธุกรรมได้เสื่อมลง การทำความผิดในช่วงชีวิตของเราได้ถ่ายข้ามทางกายภาพทำให้เกิดปัญหามากขึ้นมากขึ้น

٣ สวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่

ในกิจการอัครทูต ٣:٢١ “พระองค์นั้น สวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้โดยปากบรรดาศาสดาพยากรณ์บริสุทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก” พระคัมภีร์พูดถึงเวลาเมื่อการทรงสร้างได้รับการฟื้นกลับมาใหม่—นั่นคือกลับไปสู่สภาพที่เคยเป็น สิ่งนี้เองที่แสดงว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นที่ความผิดน่าพรึงกลัวของโลกปัจจุบันสำหรับคริสเตียนผู้ที่ยอมรับวิวัฒนาการ คำพูดของเปาโลเกี่ยวกับการคร่ำครวญถึงการทรงสร้างและการได้รับความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย

ความเหมือนกันเป็นจริงเมื่อคนหนึ่งพูดถึงสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ในที่ซึ่ง พระวจนะบอกเราว่า “อาศัยอยู่ในความชอบธรรม” ทำไมถึงมีความต้องการสวรรค์ใหม่และโลกใหม่เว้นไว้แต่ว่ามีบางสิ่งที่ผิดกับสิ่งเก่าสิ่งหนึ่ง? อิสยาห์ ١١:٦-٩ บอกเราว่าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่จะเป็นเช่นไร “สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ และเสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ ลูกวัวกับสิงโตหนุ่ม

กับสัตว์อ้วนพีจะอยู่ด้วยกันและเด็กเล็กๆจะนำมันไปแม่วัวกับหมีจะกินด้วยกัน ลูกของมันก็จะนอนอยู่ด้วยกัน และสิงโต จะกินฟางเหมือนวัวและทารกกินนมจะเล่นอยู่ที่ปากรูงูเห่า และเด็กที่หย่านมจะเอามือวางบนรังของงูทับทาง สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำให้เจ็บหรือจะทำลายทั่วภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา เพราะว่าแผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้เรื่องของพระเยโฮวาห์ ดั่งน้ำปกคลุมทะเลอยู่นั้น”

นี่เป็นการพรรณนาว่าสัตว์จะไม่กินซึ่งกันและกัน แต่จะกินเฉพาะพืช–และนั่นก็คือจะไม่มีความโหดร้ายและการคร่ำครวญ

วิวรณ์ ٢٢:٣ กล่าวว่า “จะไม่มีการสาปแช่งใดๆอีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดกจะตั้งอยู่ในเมืองนั้น และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะปรนนิบัติพระองค์”

และวิวรณ์ ٢١:٤ กล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

การพรรณนาว่าอะไรจะเกิดขึ้นในการฟื้นกลับมาใหม่ของทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถสรุปได้ดังนี้ ไม่มีความตาย,ไม่มีการทุกข์ทรมารไม่มีการหลั่งเลือด,ไม่มีการสาปแช่ง,มีสัตว์กินพืช,ไม่มีน้ำตา,ไม่มีการร้องไห้,ไม่มีความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นการพรรณนาถึงโลกปัจจุบัน—สิ่งนี้เป็นการพรรณนาถึงการฟื้นกลับมาของบางสิ่งที่สะท้อนถึงสภาวะการก่อร่างมา

เมื่อเราได้อ่านพระธรรมปฐมกาลบทที่ ١ และ บทที่ ٢ เราพบการพรรณนาของถึงจุดเริ่มต้นการทรงสร้าง—ไม่มีความตาย,ไม่มีความรุนแรง,มีสัตว์ที่กินพืช, ในอีกด้านหนึ่งปัจจุบันนี้การทรงสร้างจะถูกฟื้นกลับมาใหม่เหมือนอย่างที่เคยเป็นเพราะว่าบางสิ่งบางอย่างผิดอย่างน่าสะพรึงกลัวในขณะนี้ ถ้าในปัจจุบันนี้ยอมรับวิวัฒนาการและแล้วการฟื้นคืนกลับมาใหม่จะเป็นอย่างไร? ความตาย,การต่อสู้ดิ้นรน, และ ความรุนแรงที่เราได้เห็นทุกวันนี้เป็นอย่างไร? แน่นอน, ทำให้ให้เกิดความไร้เหตุผลของการสอนเรื่องสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ที่ได้ให้ไว้ในพระวจนะพระเจ้า

٤. สัตว์ทั้งหลายจะร้องเพื่อที่จะกินพืช

เมื่อเราสังเกตโลกปัจจุบันนี้ เราสังเกตว่าสัตว์ทั้งหลายกินสัตว์อื่น มนุษย์ก็ยังกินสัตว์ เราได้เห็นความจริง, เรา เห็นความรุนแรงท่ามกลางสัตว์ทั้งหลาย ที่ได้เคยถูกพรรณนาไว้ในกระบวนการ ١ กระบวน “ธรรมชาติสีแดงที่ลิ้นและเขี้ยว” นักวิวัฒนาการให้ชื่อการดิ้นรนนี้ว่า “ความอยู่รอดที่พอเหมาะ” พวกเขาได้มองเห็นว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในวิวัฒนาการ สำหรับนักศาสนศาสตร์,สัตว์กินเนื้อเป็นส่วนหนึ่งของ “การทรงสร้าง”ที่พระเจ้าได้ใช้ในการต่อสู้คิ้นรนต่อวิวัฒนาการของมนุษย์

อย่างไรก็ตาม พระธรรมปฐมกาล ١:٢٩-٣٠ กล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราให้บรรดาต้นผักที่มีเมล็ดซึ่งอยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก และบรรดาต้นไม้ซึ่งมีเมล็ดในผลแก่เจ้า ให้เป็นอาหารแก่เจ้า สำหรับบรรดาสัตว์ป่าบนแผ่นดินโลก บรรดานกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลก เราให้บรรดาพืชผักเขียวสดเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น

มนุษย์และสัตว์ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้กินพืช เป็นที่แน่นอนที่เหมาะสมกับความจริงที่ว่าไม่มีความตายมาก่อนที่อาดัมล้มลงในบาป เพราะว่าบาปได้ข้ามาในโลกผลลัพธ์ที่ได้คือความตาย ความบาปได้เข้ามาในโลกมากมายเสียจนพระเจ้าต้องพิพากษาให้น้ำท่วมโลก พระธรรมปฐมกาล ٦:١٢-١٣ กล่าวว่า”พระเจ้าทอดพระเนตรบนแผ่นดินโลก และดูเถิด แผ่นดินโลกก็ชั่วช้า เพราะว่าบรรดาเนื้อหนังได้กระทำการชั่วช้าบนแผ่นดินโลก พระเจ้าตรัสแก่โนอาห์ว่า “ต่อหน้าเราบรรดาเนื้อหนังก็มาถึงวาระสุดท้ายแล้ว เพราะว่าแผ่นดินโลกเต็มไปด้วยความอำมะหิตเพราะพวกเขา และดูเถิด เราจะทำลายพวกเขาพร้อมกับแผ่นดินโลก” ในส่วนของความรุนแรงเกิดจากสัตว์เริ่มต้นทำร้ายและฆ่ากันบ้างบางทีก็มนุษย์ฆ่ากัน แม้ว่าโดยแท้จริงมนุษย์ไม่ได้รับการสอนจากพระเจ้าให้กินเนื้อภายหลังจากน้ำท่วมโลกของโนอาห์ ปฐมกาล ٩:٣ กล่าวว่า”สิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของพวกเจ้า เช่นเดียวกับพืชผักเขียวสด เรายกทุกสิ่งให้แก่พวกเจ้า”

คนส่วนมากคิดว่าเพราะสัตว์เป็นสัตว์ประเภทที่มีฟันพวกมันเลยถูกสร้างให้กินเนื้อ อย่างไรก็ตามมีสัตว์มากมายในปัจจุบันที่มีฟันอันแหลมคมแต่กินเพียงพืชเท่านั้น โดยปกติฟันของสัตว์เหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้กินพืชซึ่งพระเจ้าได้สร้างให้กับพวกมัน และเหตุเพราะมนุษย์ทำบาปสัตว์บางชนิดในปัจจุบันก็กินเนื้อ >พระคัมภีร์ก็ไม่ได้แยกการกระทำของพระเจ้าโดยตรงที่ในขณะที่บาปไก้เข้ามามีผลทางชีวภาพในการทรงสร้างที่สัมพันธ์กับอุปนิสัยของการกินอาหาร

٥. การทรงสร้างจบสิ้นแล้ว

พระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าเสร็จสิ้นงานการทรงสร้างและทุกสิ่งทุกอย่างในวันที่หกของการทรงสร้าง”ดังนั้นสวรรค์และโลกได้ถูกสร้างจบแล้วและผู้อารักขาเช่นกันและในวันที่เจ็ดเป็นวันที่พระเจ้าได้ทรงพักจากการงานที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว่นั้น และพระเจ้าทรงอวยพรในวันที่เจ็ดและให้เป็นวันที่บริสุทธิ์

จาก ปฐมกาล ٢:١-٣ “ดังนี้ฟ้าและแผ่นดินโลกและบรรดาบริวารก็ถูกสร้างขึ้นให้สำเร็จ ในวันที่เจ็ดพระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น และในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น พระเจ้าทรงอวยพระพรวันที่เจ็ดและทรงตั้งวันนี้ไว้เป็นวันบริสุทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ได้ทรงหยุดพักจากการงานทั้งสิ้นของพระองค์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเนรมิตสร้างไว้แล้วนั้น”

ผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าใช้วิวัฒนาการต้องเชื่อว่ากระบวนการที่เหมือนกันกับที่พระเจ้าใช้ในวิวัฒนาการที่สมมติว่าเป็น”การทรงสร้าง”และดำเนินต่อมาจนทุกวันนี้ เมื่อนักวิวัฒนาการมองไปยังโลกทุกวันนี้เขาสังเกตได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลง (เป็นความผิดหรือเปลี่ยนแปลงในชนิดของมัน) และ การเลือกตามธรรมชาติ(การอยู่รอดเพื่อความเหมาะสม)และเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนของกลไกการวิวัฒนาการ การให้เวลาที่เพียงพอ การเลือกทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงกล่าวได้ว่าทำให้อวัยวะต่างๆเปลี่ยนจากชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง นักวิวัฒนาการทำอะไรแล้วเขาได้ใช้กระบวนการที่เขาได้สังเกตในปัจจุบันนำไปประเมินอดีต เขาได้เชื่อกระบวนการเหล่านี้กว่าล้านปีเป็นกลไกของวิวัฒนาการ

คริสเตียนผู้ที่กล่าวว่าพระเจ้าใช้วิวัฒนาการเพื่อนำทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงมนุษย์ จะเกิดปัญหาอย่างแท้จริง ถ้าวิวัฒนาการไม่ได้มีชัยชนะในปัจจุบันนี้ (นั่นคือถ้าพระเจ้าไม่ได้ ทรงสร้างโดยทางวิวัฒนาการ) ไม่มีรากฐานที่จะประมาณการในอนาคตที่จะพูดว่าวิวัฒนาการได้เคยเกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีกลไกของวิวัฒนาการเลยทีเดียว

ในอีกด้านหนึ่งวิวัฒนาการสมัยใหม่ยอมรับว่าวิวัฒนาการยังคงดำเนินต่อไป(ดังนั้นมนุษย์ยังคงมีวิวัฒนาการ!) ดังนั้นถ้าคริสเตียนยอมรับวิวัฒนาการเขาต้องยอมรับว่าพระเจ้ายังคงใช้วิวัฒนาการทุกวันนี้ ดังนั้นพระองค์ยังคงกำลังสร้างสิ่งต่างๆแต่พระเจ้าได้บอกเราว่าพระองค์ได้เสร็จสิ้นการทรงสร้างของพระองค์แล้ว นี่เป็นสภาวะที่ยากลำบากของนักศาสนวิวัฒนาการ

٦ ผงคลีดินไปสู่อาดัม-กระดูกซี่โครงไปสู่อีฟ

จากปฐมกาล ٢:٧ พระเจ้าได้สร้างมนุษย์คนแรกอย่างไร”พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่”

จากพระวจนะข้อนี้ พระเจ้าได้สร้างมนุษย์คนแรกคืออาดัมจากผงคลีดิน ส่วนอีฟที่เป็นภรรยาพระเจ้าได้สร้างโดยวิธีที่แตกต่างกัน จากปฐมกาล ٢:٢١- ٢٣”แล้วพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงกระทำให้อาดัมหลับสนิท และเขาได้หลับสนิท พระองค์จึงทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา และทรงกระทำให้เนื้อที่ซี่โครงติดกัน กระดูกซี่โครงซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าได้ทรงชักจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิงคนหนึ่ง และทรงนำเธอมาให้ชายนั้น อาดัมจึงว่า “บัดนี้ นี่เป็นกระดูกจากกระดูกของเรา และเนื้อจากเนื้อของเรา จะต้องเรียกเธอว่าหญิง เพราะว่าหญิงนี้ออกมาจากชาย”

ผู้หญิงคนแรกคืออีฟถูกสร้างมาจากด้านข้างของอาดัม vมีคริสเตียนที่ยอมรับในวิวัฒนาการกล่าวว่า “ผงคลี”ในปฐมกาล٢:٧

แท้ตริงแล้วเป็นการแทนการสรุปของวิวัมนาการ—นี่เป็นทางเคมีต่อมนุษย์ แต่ก็ยังมีผู้ที่ยึดมั่นในความเชื่อว่าไม่สามารถเอาชนะปัญหาได้ถ้าผงคลีต่ออาดัมอทน ทางเคมีต่อมนุษย์ แล้วการแทนกระดูกซี่โครงต่ออีฟคืออะไร? เพื่อให้เห็นตรงกันมีหนี่งอย่างที่เพียงพอในการอธิบายและไม่มีอะไรเลย---ถ้าใครก็ตามยอมรับวิวัฒนาการอีฟก็จะไม่ได้เกิดมาจากผงคลีโดยตรงแต่มาจากมนุษย์ที่ถูกสร้างโดยหน้าที่อย่างสมบูรณ์

٧ กลับไปสู่ผงคลีดิน

คนบางคนกล่าวว่า “ผงคลี”ในปฐมกาล٢:٧”พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่” เป็นการแทนสัตว์ ที่พระเจ้าได้ระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของอาดัม มีการพูดว่าเมื่อพระคัมภีร์บอกกับเราว่าพระเจ้าได้ปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน นี่เป็นสัญลักษณ์ของวิวัฒนาการซึ่งเหมือนกับการทรงสร้างที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ปฐมกาล ٣:١٩ กล่าวว่า “เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่อไหลโซมหน้าจนกว่าเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับไปเป็นผงคลีดิน”

ถ้าพระเจ้าได้ใช้ผงคลีดินเพื่อแทนการสร้างอาดัมเหมือนกับที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษบ์ก็จะเป็นผงคลีเมื่อร่างกายมนุษย์ได้ตายลง เป็นอะไรที่สัตว์ได้ตายลง มนุษย์ก็กลับไปเมื่อเขาตายหรือไม่? ใครก็ตามสามารถสังเกตุว่าเมื่อเราตายเราก็กลับคืนไปสู่ผงคลีดิน—เพมือนดังพระคัมภีร์กล่าวว่าผงคลีจากดิน,ที่มนุษย์กลับไปซี่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้ถูกสร้างมาในครั้งแรก

٨ พระเจ้าแสนดี

ในปฐมกาล 1:31 พระเจ้าได้กล่าวว่า “พระเจ้าทอดพระเนตรบรรดาสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง และดูเถิด เป็นสิ่งที่ดียิ่งนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หก”พระเจ้าหมายความว่าอย่างไร “ดี”? มีเพียงทางเดียวที่คุณอาจจะรู้คือถ้าคุณมีการเปรียบเทียบที่สมบูรณ์ พระเยซูคริสต์ได้กล่าวไว้ใน มัทธิว ١٩:١٧ “พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไมเล่า ไม่มีผู้ใดประเสริฐนอกจากพระองค์เดียวคือพระเจ้า แต่ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าในชีวิต ก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้” ในสดุดี ٢٥:٨ ได้บอกว่า” 25:8 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้ประเสริฐและเที่ยงธรรม เพราะฉะนั้นพระองค์จะทรงสั่งสอนพระมรรคานั้นแก่คนบาป” ดังนั้นเมื่อพระเจ้าได้กล่าวว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้น “ดี”นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากพระเจ้าผู้ที่แสนดี เมื่อเราดูคุณสมบัติของพระเจ้าเราได้เห็นเช่นที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงแสดงในพันธ์สัญญาใหม่ซึ่งพระองค์สงสารคนที่เจ็บป่วย พระองค์รักษาคนที่ทนทุกข์ พระองค์ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้น พระองค์มีความเมตตากรุณาและมีความสงสาร พระองค์ช่วยคนที่อ่อนแอ พระองค์มีความรัก และเป็นพระเจ้าที่แสนดี

เอาละ คิดถึงวิธีของวิวัฒนาการ ขจัดคนที่อ่อนแอ มีชีวิตรอดให้ดีที่สุด ความตาย และการดิ้นรนในกระบวนการวิวัฒนาการ ขจัดความไม่เหมาะสม เป็นต้น สิ่งนี้พระเจ้าได้ใช้วิธีการนี้ในการนำชีวิตทั้งหลายให้เป็นอยู่และพรรณนาว่านี่เรียกว่า “ดี”? ไม่แน่นอน –นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติของพระเจ้าที่ได้เปิดเผยในพระวจนะ คริสเตียนผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าใช้วิวัฒนาการต้องคิดว่าพระเจ้าเป็นยักษ์

٩ ปฐมกาลเป็นประวัติศาสตร์ที่มีความหมายที่เป็นจริง

หลายคนอ้างว่าปฐมกาลเป็นเพียงสัญลักษณ์—เป็นแบบการเปรียบเทียบ เขาอ้างว่าไม่มีความสำคัญว่าพระเจ้าจะพูดอะไร เพียงแต่ความหมายคืออะไร ตามจริงทุกสิ่งไม่มีความสำคัญ คริสเตียนมากมายกล่าวว่าปฐมกาลมีความหมายเพียงเพื่อที่จะสอนเราว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างแต่พระคัมภีร์กล่าวเป็นคำสัญลักษณ์เพราะว่าในความเป็นจริงคำที่พูดหมายความถึงพระเจ้าใช้วิวัฒนาการ

อย่างไรก็ตามถ้าเราพัฒนาความคิดนี้—ว่าปฐมกาลเป็นเพียงสัญลักษณ์—แล้วใครคนหนึ่งมีคำถามว่า “เราจะเรียนรู้ได้ที่ไหนว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง? แน่นอน เราเริ่มที่ปฐมกาลบทที่ ١ ข้อที่ ١ที่ได้กล่าวว่า”ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก” แต่ถ้าปฐมกาลเป็นเพียงสัญลักษณ์ เพื่อที่จะเป็นจริงเราก็มีคำถามว่า พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างนั้นเป็นสัญญลักษณ์ดก้วยเหมือนกัน แล้วเราก็จะมีคำถามว่าแล้วความหมายที่แท้จริงเป็นอย่างไร?

เมื่อคนทั่วไปกล่าวว่า ปฐมกาลเป็นเพียงสัญลักษณ์ พวกเขาก็ไม่มีความจริงเพราะว่าเขายอมรับบางส่วนว่ามีความหมายของคำที่แท้จริง(เช่นคำว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง) และส่วนอื่นเป็นสัญลักษณ์! ถ้าเป็นสัญลักษณ์แล้วก็จะต้องถูกเขียนมาเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่ง ดังนั้นทุกวลีที่เขียนขึ้นมาก็เป็นสัญลักษณ์ที่แทนบางสิ่งบางอย่าง ดังนั้นใครคนใดคนหนึ่งก็อาจมีคำถาม ว่า ทุกๆคำมีความหมายอะไร? สัญลักษณ์เป็นอะไร? เช่น สัญลักษณ์ จากซี่โครงไปสู้อีฟเป็นสัญลักษณ์อะไร? นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายเลย หรือคุณคิดว่าทำให้มีค่าหรือคุณไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างไรเพราะว่าไม่มีวัตถุประสงค์ที่เป็นสิ่งนั้นที่นั่น

١٠ หลักข้อเชื่อทั้งหมดพบในพระธรรมปฐมกาล

รากฐานต่างในการศึกษาหลักข้อเชื่อทางพระคัมภีร์ของศาสนาสตร์จะแสดง จะแสดงว่าในบั้นปลายของหลักข้อเชื่อทั้งหลาย ทั้งทางตรงและทางอ้อมมีรากฐานอยู่ในพระธรรมปฐมกาล

ในยอห์น ٥:٤٦ พระเยซูคริสต์ตรัสว่า”ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านทั้งหลายก็จะเชื่อเรา เพราะโมเสสได้เขียนกล่าวถึงเรา” พระองค์ได้เน้นว่าสิ่งที่โมเสสเขียนได้รับการยอมรับเพื่อเข้าใจว่าพระองค์ได้พูดเพราะว่าหลักข้อเชื่อทั้งหลายได้สอนและพบได้จากพระธรรมปฐมกาล เช่นในมัทธิว ١٩:٤٦ “พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์แต่เดิม `ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง’ และตรัสว่า `เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา และจะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน’ เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย”

สถาบันการแต่งงานเป็นรากฐานในพระธรรมปฐมกาล—อาดัมและอิฟเป็นคู่แต่งงานคู่แรก เพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแต่งงาน เราต้องเยอมรับความหมายที่แท้จริงของพื้นฐานและจุดกำเนิดในพระธรรมปฐมกาล

พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพราะว่าความบาปและความตายและจำเป็นในการหลั่งเลือดเพื่อชำระบาป จุดเริ่มต้นและรากฐานอยู่ในพระธรรมปฐมกาล เราสวมใส่เสื้อผ้าเพราะพระเจ้า ให้มนุษย์สวมใส่เสื้อผ้าเพราะความบาป เราอ่านได้จากพระธรรมปฐมกาล เพื่อที่จะเข้าใจหลักข้อเชื่อของคริสเตียนเราต้องเข้าใจรากฐานของหลักข้อเชื่อที่ให้ไว้ในพระธรรมปฐมกาล ถ้าพระธรรมปฐมกาลไม่ได้ให้ความหมายที่แท้จริงแล้วจะไม่มีหลักข้อเชื่อพื้นฐานของคริสเตียน---ดังนั้นหลักข้อเชื่อของคริสเตียนไม่มีความหมายอะไรเลย

คนทั้งหลายพยายามที่กล่าวว่าในพันธ์สัญญาใหม่พระเยซูคริสต์เพียงแต่บันทึกเรื่องราวในช่วงเวลาของพระองค์เท่านั้น---โดยที่เขาไม่ได้เชื่อว่าพระธรรมปฐมกาลความหมายที่แท้จริง เขากล่าวว่าเพราะว่าพวกยิวเชื่อในหนังสือที่โมเสสและใน ปฐมกาลที่ได้เขียนขึ้น เรื่องบันทึกพระเยซูคริสต์เพียงแต่เขียนเพื่อให้เป็นไปตามพระธรรมปฐมกาลเท่านั้น อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ได้สอนเราว่าเป็น”ทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น ١٤:٦) พระเยซูคริสต์เป็นความจริง เพื่อที่พูดเช่นนั้นพระเยศูคริสต์สอนโดยรู้ถึง”ตำนาน” ซึ่งความจริงเรียกพระเยซูคริสต์ว่าพูดไม่จริง พระองค์เป็น “คนดี” อย่างสมบูรณ์ คริสเตียนผู้ที่กล่าวว่าพระเยซูคริสต์เพียงแต่มีบันทึกในตำนานในเวลาของพระองค์ ควรจะระมัดระวังที่จะไม่กล่าวว่าพระเยซูคริสต์พูดไม่จริง

มีตัวอย่างอื่นๆที่พระเยซูคริสต์ได้นำมาเขียนหรือ อ้างถึง และยอมรับพระธรรมปฐมกาล เช่นใน

มัทธิว ٢٤:٣٧-٣٩ “ด้วยสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่

โนอาห์เข้าในนาวา และน้ำท่วมได้มากวาดเอาพวกเขาไปสิ้น โดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้นด้วย”

١١ พันธสัญญาใหม่อ้างอิงถึงพระธรรมปฐมกาล

มีการอ้างอิงมากมายตลอดพันธ์สัญญาใหม่ไปสู่ปฐมกาล ที่ยอมรับว่าประวัติศาสตร์มีความหมายที่แท้จริง-----โดยความจริงมีอย่างน้อย ข้อความ ١٦٥ ส่วนในปฐมกาลที่เป็นทั้งการอ้างมาโดยตรงหรืออ้างอิงอย่างชัดเจนตลอดพันธสัญญาใหม่ รวมทั้งอ้างอิงจากหนังสือ ١٠٠ เล่มหรืออ้างอิงโดยตรงในปฐมกาลบทที่ ١ ถึง บทที่ ١١

ผู้เขียนพันธ์สัญญาใหม่ทุกคนได้อ้างถึงพระธรรมปฐมกาลบทที่ ١ ถึง บทที่ ١١ ทุกๆบทในพระธรรมปฐมกาล ١-١١ ดังกล่าวได้นำมาอ้างถึงในพันธ์สัญญาใหม่ข้อใดตอนใดที่ได้อ้างในพันธ์สัญญาใหม่ได้มีเขียนไว้ในหนังสือของ ดร เฮ็นรี่ มอร์รีส ซึ่งเป็นหนังสือที่ให้การวิพากษ์อย่างยอดเยี่ยมของปฐมกาล ชื่อว่า “The Genesis Record”ผู้พิมพ์ร่วมโดย Baker Book House และ Creation Life Publishers.

ตลอดทั้งพันธ์สัญญาเดิมและพันธ์สัญญาใหม่ พระธรรมปฐมกาลได้นำมาอ้างหรืออ้างถึงมากกว่าหนังสือพระธรรมเล่มอื่นๆตลอดทั้งเล่มของพระคัมภีร์ สิ่งเหล่านี้รวมถึงบางสิ่งที่มีความสำคัญ สิ่งนี้ยังแสดงว่าทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ผู้เขียนได้ยอมรับว่าพระธรรมปฐมกาลเป็นจริงอย่างน้อยที่สุดหกเหตุการณ์ พระเยซูคริสต์ได้นำมาอ้างและอ้างไปสู่บาวแง่มุมของปฐมกาล ١-١١

١٢ “วัน” ไม่สามารถเป็น”ล้านปีได้”

คริสเตียนส่วนมากกล่าวอ้างว่าวันของการทรงสร้างแท้จริงแล้วเป็นการแทนล้านปีของประวัติศาสตร์ของโลก เขากล่าวว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างจักรวาลในเจ็ดวันแต่ในช่วงเจ็ดระยะเวลาเป็นการแทนล้านปีเป็นความเชื่อของนักวิวัฒนาการ

ประการแรก เราต้องระลึกว่าวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ถึงอายุของโลกเป็นเท่าไร มีข้อสมมติฐานมากมายเบื้องหลังการหาอายุของโลก วิธีการหาอายุของโลกเหล่านี้คนส่วนมากไม่ได้ตระหนักมากนัก มีเพียงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ตรงกับความเชื่อในโลกของเขา แต่ในพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าวันในพระธรรมปฐมกาลเป็นวันที่หมายถึง ٢٤ ชั่วโมง

คำในภาษาฮิบรูสำหรับวัน yom สามารถหมายถึงวันปกติหรือมีช่วงระยะเวลาที่ไม่กำหนด สิ่งนี้ควรจะทำให้ชัดเจนว่าคำสำหรับวันในพระธรรมปฐมกาลไม่สามารถมีความหมายเป็นระยะเวลายาวนานในความรู้สึกที่จำกัด มันอาจเป็นบางสิ่งที่ยาวนานกว่าวันแต่เป็นความรู้สึกที่ไม่มีกำหนด (เช่นในเวลาของผู้พยากรณ์ ในเวลาชองพระเจ้า) ในพระธรรมอพยพ ٢٠:١١ บอกเราว่าพระเจ้าได้สร้างจักรวาลในเจ็ดวันและได้หยุดพักหนึ่งวัน นี่เป็นเหตุผลที่พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งเสร็จสิ้นในหกวันพระองค์ได้กำหนดรูปแบบเจ็ดวันซึ่งเราได้ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ พระเจ้าไม่ได้บอกเราว่าพระองค์ทำหกล้านปีและหยุดพักหนี่งล้านปีโดยการบอกเราให้ทำแบบเดียวกันและเป็นความรับรู้ที่น้อยมากว่าพระเจ้าทำงานในช่วงหกระยะเวลาที่ไม่จำกัด

มีแง่มุมหลายอย่างที่ที่เราอาจรู้ได้ว่าวันที่พระเจ้าสร้างเป็นวันทั่วไปที่เรารู้กันอยู่ เช่น พระเจ้าสร้างอาดัมในวันที่หก เขาอาศัยอยู่ในวันที่หกและวันที่เจ็ดและตายเมื่อมีอายุ ٩٣٠ ปี ถ้าแต่ละวันเป็นเวลาล้านปีก็จะมีปัญหาอย่างมากมาย นี่เป็นการที่เราสามารถเข้าใจได้จากพระธรรม ٢ เปโตร ٣:٨ ที่ได้เปรียบเทียบหนึ่งวันกับหนึ่งพันปี เป็นการให้คำจำกัดความของ”วัน” ว่ามีหนึ่งพันวัน ความจริงจากข้อความ ٢ เปโตร ٣:٨ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลยในการทรงสร้างโดยพระเจ้าแต่เป็นความจริงที่ว่าพระเจ้าอยู่เหนือเวลา

คำว่า”วัน” เมื่อใช้ครั้งแรกในพระธรรมปฐมกาลไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แทนวัน คำนี้ไม่ได้ใช้อย่างเป็นสัญลักษณ์แทนเมื่อมีการให้ความหมายที่แท้จริงของวันในครั้งแรก ความหมายที่แท้จริงได้นิยามไว้ในพระธรรมปฐมกาล บทที่ ١ เมื่อทีการใช้เวลาครั้งแรก เหมือนกับที่มีการใช้ตำว่า “เวลาเย็น” และ “เวลาเช้า” สามารถมีความหมายที่แท้จริง

ในพระธรรมปฐมกาล ١:١٤-١٩ เกี่ยวข้องกับวันที่สี่ของการทรงสร้าง คำว่า”วัน”ได้ถูกใช้ห้าครั้งที่เกี่ยวข้องกับวันกลางคืน ฤตู และปี ถ้าวันที่ได้กล่าวมานี้ไม่ได้มีความหมายเหมือนวันที่เราเข้าใจและเป็นจริงทุกวันนี้มันก็ไม่มีความหมายะไรเลยสำหรับวันที่ใช้ในบทนี้

١٣ ตามชนิดของมัน

ในพระธรรมปฐมกาล ١ วลี “ตามชนิดของมัน” หรือ “ตามชนิดนานาชีวิต”เกิดขึ้นทั้งหมดสิบครั้ง วลีเหล่านี้ได้ใช้ในการอ้างถึงสัตว์และพืชตามที่มันได้เกิดขึ้นในโลกนี้พระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่าพระได้สร้างสัตว์และพืชให้เป็นไปตามชนิดที่แน่นอนแต่ละชนิดก็ให้สืบทอดตามชนิดใดชนิดหนึ่งไม่สามารถข้ามชนิดกันได้ ปัจจุบันเรารู้ได้ว่ามีการแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่มากในแต่ละชนิด แต่กำหนดขอบเขตให้เกิดขึ้นตามความจริงระบบการจำแนกเราใช้ในการเรียกชื่อสัตว์และพืชในกลุ่มได้พบครั้งแรกในการสอนพระคัมภีร์เกี่ยวกับกำหนดชนิด โดยเกิดจากผลงานของ ดาร์ล ลีแนน(١٧٠٧-١٧٧٨)

ไม่สามารถละเลยการแปรเปลี่ยนจากที่ใดๆในโลก การมีชีวิตอยู่ หรือ ซากพืชซากสัตว์สิ่งที่เราสังเกตเป็นกลุ่มของพืชหรือสัตว์ที่เด่น เหมือนกันสิ่งที่เราคาดหวังจากการสอนพระคัมภีร์ คนเหล่านั้นที่เชื่อในการวิวัฒนาการจำเป็นต้องสร้างทฤษฎีเพิ่มเข้ามาเพื่อจะหาว่าทำไมขบวนการทางชีวภาพหายไปในระหว่างกลาง(เช่น “เราไม่สามารถพบว่า” หรือ “การวิวัฒนาการเกิดขึ้นเพื่อว่าถ้าไม่มีวิวัฒนาการ ก็จะไม่เกิดรูปฟอร์มขึ้นมา”)

١٤ วิวัฒนาการและการทรงสร้าง มีลำดับที่แตกต่างกัน

สำหรับคนที่พยายามทำให้วิวัฒนาการและปฐมกาลสอดคล้องกันนั้น ลำดับของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของวิวัฒนาการและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปฐมกาลต้องเปรียบเทียบกันได้ มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในการเปรียบนี้ ประเด็นพื้นฐานของเวลาในวิวัฒนาการขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับลำดับในพระธรรมปฐมกาล เช่น พระธรรมปฐมกาลมุ่งไปสู่การสร้างผลไม้ พืชก่อนที่จะสร้างปลา—สร้างพืชในวันที่สาม-สร้างปลาในวันที่ ห้า วิวัฒนาการสอยว่าปลาเกิดก่อนต้นไม้หรือผลไม้ วิวัฒนาการสอนว่าชีวิตแรกได้เกิดขึ้นในทะเลและหลังจากนั้นล้านปีชีวิตได้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน พระคัมภีร์สอนว่าโลกได้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสิ่งแรกปกคลุมไปด้วยน้ำ วิวัฒนาการสอนว่าโลกเกิดขึ้นโดยก้อนที่ร้อน ไม่มีหนทางที่ว่าลำดับเหตุการณ์ของวิวัฒนาการและของพระธรรมปฐมกาลจะสอดคล้องกัน

١٥ โลกเกิดขึ้นก่อน ไม่ใช่ดวงอาทิตย์

วิวัฒนาการแบบหนึ่งเห็นว่าโลกเกิดขึ้นมากว่า٢٠ พันล้านปีมาแล้ว โดยมีดวงใหญ่เกิดขึ้นซึ่งเป็นผลให้เกิดการก่อตัวของดวงอาทิตย์ โลกก็เกิดเป็นดวงร้อนที่แยกออกมา พระคัมภีร์สอนเราว่าเมื่อแรกที่พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกนั้นไม่มีดวงอาทิตย์ แสงสว่างได้ถูกสร้างขึ้นมาในวันแรกและดวงอาทิตย์ก็เป็นดวงสว่างและก็ไม่ได้ถูกสร้างจนกระทั่งวันที่สี่ โลกก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำเมื่อโลกถูกสร้างครั้งแรก ใน

٢ เปโตร ٣:٥-٦ ได้มีการพยากรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับวันสุดท้ายซึ่งเปโตรบอกเราว่า มนุษย์ผู้ชายตั้งใจเลือกที่จะลืมไปว่าโลกได้ถูกสร้างมาและปกคลุมไปด้วยน้ำ ทฤษฎีหลุมดำเรื่องราวการทรงสร้างทางพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิง

١٦ พระธรรมปฐมกาล ١ และ ٢ ---เป็นเรื่องที่น่าชมเชย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ขัดแย้ง

เพราะว่าโมเสสไม่ได้เป็นพยานในการทรงสร้าง น้ำท่วมโลกของโนอาห์ หรือว่าเหตุการณ์ของหอบาเบล กล่าวอ้างได้ว่า พระธรรมปฐมกาลเป็นลำดับเหตุการณ์ที่บันทึกไว้แต่แรกๆซึ่งโมเสสได้นำมารวมกันในเล่มเดียวภายใต้การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพราะว่าการอ้างในพันธ์สัญญาใหม่โดยพระเยซูคริสต์ไปยังโมเสส และการเป็นผู้เขียนหนังสือห้าเล่มแรกในพระคัมภีร์(เบญจบรรณ)เป็นพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักอย่างมากในการแนะนำว่าโมเสสมีความรับผิดชอบต่อพระธรรมปฐมกาล ตลอดทั้งพระธรรมปฐมกาลวลี(เช่นพระธรรมปฐมกาล ٢:٤ )”เรื่องราวของฟ้าและแผ่นดินโลกเมื่อถูกเนรมิตสร้างนั้นเป็นดังนี้ ในวันที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าได้ทรงสร้างแผ่นดินโลกและฟ้า” คำว่า”เรื่องราว...” ได้ปรากฏหลายครั้งจากพยานหลักฐานภายนอกเช่นการใช้ว่าอะไรเรียกว่า “the colophon system” ในเมโสโปเตรเมืย นักภาษาศาสตร์กล่าวว่านี่เป็นการเชื่อมกลุ่มข้อความ (“เรื่องราวของ”) ปรากฏที่ตอนจบของทุกตอน ในอีกด้านหนึ่ง เหล่านี้เป็นแบบของ ”signature” ข้อความตอนๆส่วนมาก ดังนั้นในปฐมกาลบทที่ ١ และ ٢ ตอนแรกเริ่มจาก ١:١ ไปจนถึง ٢:٤ และในตอนที่ สองเริ่มจาก ٢:٤ ไปจนถึง ٥:١

คนส่วนมากกล่าวว่าปฐมกาลบทที่ ١ และบทที่ ٢ มีเรื่องราวของการทรงสร้างที่ขัดแย้งกัน ในความเป็นจริงเป็นการง่ายที่จะเห็นได้ว่าเรื่องราวในสองบทนี้ไม่ได้ขัดแย้งกันแต่เป็นเรื่องที่น่าชมเชย ปฐมกาล ١:١ ไปจนถึง ปฐมกาล ٢:٤ เป็นเรื่องราวที่เป็นลำดับกาล(หนึ่ง.สอง.สาม....)ของวันในการทรงสร้าง ปฐมกาลบทที่ ٢:٤ เป็นการเริ่มเรื่องราวที่สองซึ่งเป็นเรื่องราวส่วนที่ที่ครอบคลุมการยืนยันบทที่หนึ่ง เรื่องราวที่สองไม่ได้มีความหมายว่าจะต้องเรียงลำดับกาลในแต่ละวันของการทรงสร้าง แท้จริงแล้วเป็นการให้รายละเอียดมากขึ้น—โดนเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสวน—และเหตุการณ์การล้มลงของมนุษย์ในปฐมกาลบทที่ สาม

เรื่องราวที่สองเป็นความจำเป็นอย่างมากสำหรับเราที่จะเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นในปฐมกาลบทที่สามไม่เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องราวที่สองที่เป็นรายละเอียดที่แท้จริงถึงพระเจ้าสร้างมนุษย์ผู้ชายและผู้หญิงอย่างไร? ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติความสัมพันธ์ของการแต่งงาน รูปแบบของการวางเรื่องราวโดยทั่วไปก่อนที่จะบันทึกเหตุการณ์โดยเฉพาะไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในสองบทของพระธรรมปฐมกาลเท่านั้นเราได้พบอีกครั้งหนึ่งในพระธรรมปฐมกาล ١٠:٢- ٣٢ เมื่อเรามีตารางการกระจายของประชากร นี่เกิดขึ้นโดย ปฐมกาล١١:١-١٠ ที่ซึ่งบอกเราว่าอะไรได้เกิดขึ้นที่บาเบลเกี่ยวกับชั่วอายุที่สามของการกระขายพงศ์พันธุ์ในปฐมกาล บทที่ ١٠

สิ่งที่ควรจะจำได้ว่าในมัทธิว ١٩:٤-٥ เมื่อพระเยซูคริสต์ตอบเกี่ยวกับคำถามที่เกี่ยวกับการแต่งงาน พระองค์ได้อ้างจากปฐมกาลบทที่ ١ และบทที่ ٢ พระองค์ได้นำมาด้วยความชื่นชมและด้วยสิทธิอำนาจ มัทธิว ١٩:٥ และกล่าวว่า “และตรัสว่า `เพราะเหตุนี้ผู้ชายจึงละจากบิดามารดาของเขา และจะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน’” ชึ่งกล่าวไว้ในปฐมกาล٢:٢٤

١٧ อาดัมสามารถเขียน

คนทั่วไปที่เชื่อในวิวัฒนาการคาดได้ว่าสิ่งที่เขาเรียนถึงเสียงคำราม เสียงเห่ามากกว่าที่จะเรียนการเขียน เขาต้องใช้ก้อนหินเป็นเครื่องมือและเรียนเกี่ยวกับการทำนาก่อนที่จะพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า “ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี” อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ได้บอกเราว่าอาดัมไม่ได้เป็น “สิ่งแรก” แต่ได้พัฒนาตัวเองอย่างสูง เช่น ในพระธรรมปฐมกาล ٢:٢٠ กล่าวว่า “อาดัมได้ตั้งชื่อบรรดาสัตว์ใช้งาน บรรดานกในอากาศ และบรรดาสัตว์ในท้องทุ่ง แต่ว่าสำหรับอาดัมยังไม่พบผู้อุปถัมภ์” อาดัมสามารถพูดได้อย่างชัดเจน เขาใช้ภาษาได้อย่างซับซ้อน

ใน ปฐมกาล ٣:٢٠ กล่าวว่า “อาดัมเรียกภรรยาว่า อีฟ เพราะว่าเธอเป็นแม่ของสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง” ในปฐมกาล ٥:١ เราได้อ่านว่า “หนังสือเล่มนี้เป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัม” อ้างได้ว่า อาดัมได้เขียนรายละเอียดทั้งหมดพระเจ้าได้ให้อาดัมเป็นจุดเริ่มต้นการทรงสร้าง เขาคงจะบันทึกเหตุการณ์อื่นภายใต้การทรงนำของพระเจ้าและต่อมาโมเสสก็ได้รับเนื้อหาก็ได้รวบรวมไว้ในหนังสือปฐมกาล ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วโนอาห์จะต้องนำไปไว้ในเรือเอกสารที่มีคุณค่าที่อาดัมได้เขียนขึ้นในรูปแบบที่เป็นจริง

ควรจะบันทึกไว้ว่าลูกหลานของอาดัมทำเครื่องดนตรี และทำด้วยทองแดงและเหล็ก ปฐมกาล ٤:٢١-٢٢

กล่าวว่า “น้องชายของเขามีชื่อว่ายูบาล เขาเป็นต้นตระกูลของบรรดาคนที่ดีดพิณเขาคู่และเป่าขลุ่ย นางศิลลาห์คลอดบุตรด้วยชื่อว่าทูบัลคาอิน ซึ่งเป็นผู้สอนบรรดาช่างฝีมือทำเครื่องทองสัมฤทธิ์และเหล็ก ทูบัลคาอิน มีน้องสาวชื่อว่านาอามาห์” พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้รอดโดยการวิวัฒนาการ

١٨ น้ำได้ท่วมทั้งโลกไม่ได้ท่วมเฉพาะแห่ง

คริสเตียนทั้งหลายที่ยอมรับภาพของวิวัฒนาการในประวัติศาสตร์เชื่อว่าฟอสซิลที่พบเป็นพันล้านชิ้นบนโลกเป็นผลจากกระบวนการเกิดขึ้นเป็นล้านปี ขบวนการนี้กล่าวได้ว่ามีความเกี่ยวพันกับการก่อตัวอย่างช้าของชั้นที่ทับถมกันร่วมกับการทับถมของซากฟอสซิล ดังนั้นเมื่อเรามาดูที่ปฐมกาลบทที่ ٦-٩ เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมโลกของโนอาห์ พวกเขาก็จะมีปัญหา ถ้ามีน้ำท่วมทั่วทั้งโลก มันก็จะถูกกำจัดไปของร่องรอยเป็นล้านปีและทำลายหมด ในอีกทางหนึ่งพระคัมภีร์สอนเราว่าไม่มีความตายก่อนที่อาดัมทำบาป ดังนั้นฟอสซิลก็จะถูกพบล้านปีก่อนอาดัมทำบาป

อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องมีการสำรวจสำหรับสัตว์หรือพืชที่ได้รักษาไว้เป็นล้านปีที่ได้ตายโดยน้ำท่วมทั่วทั้งโลก น้ำที่ท่วมทั่วทั้งโลกเช่นในยุคของโนอาห์ในปัจจุบันเป็นการอธิบายได้อย่างดีเลิศ คริสเตียนผู้ที่ยอมรับผลลัพธ์ของร่องรอยล้านปีที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆจะกล่าวว่าน้ำท่วมโลกของโนอาห์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะแห่งไม่ได้เกิดทั้งโลก พระคัมภีร์สอนไว้อย่างชัดเจนว่า “น้ำไหลเชี่ยวทวีมากยิ่งขึ้นบนแผ่นดินโลก และน้ำก็ท่วมภูเขาสูงทุกแห่งทั่วใต้ฟ้า”

นอกจากนี้เราได้รู้จากปฐมกาล٩:١١-١٣ ว่า”เราจะตั้งพันธ์สัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่า จะไม่มีการทำลายบรรดาเนื้อหนังโดยน้ำท่วมอีก จะไม่มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป พระเจ้าตรัสว่า “นี่เป็นหมายสำคัญแห่งพันธ์สัญญาซึ่งเราตั้งไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับเจ้า ในทุกชั่วอายุตลอดไปเป็นนิตย์ เราได้ตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆและมันจะเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับแผ่นดินโลก”

١٩ วิวัฒนาการศาสนศาสตร์ เทียบเท่ากับวิวัฒนาการที่ไม่มีพระเจ้า บวกกับพระเจ้า

ในความเป็นจริง วิวัฒนาการศาสนศาสตร์ไม่มีความแตกต่างจากวิวัฒนาการที่ไม่เชื่อพระเจ้า พระเจ้าเป็นส่วนที่ง่ายในการเพิ่มเข้าไปในเรื่องราว คริสเตียนผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ใช้วิวัฒนาการ ยอมรับว่ามุมมองของผู้ไม่เชื่อพระเจ้าบอกแก่เขาและก็เพิ่มพระเจ้าเข้าไปในสถานการณ์และก็บิดเบือนพระคัมภีร์ ความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ว่ามนุษย์เป็นคนบาปและหันหนีไปขากพระเจ้าและ”ไม่มีคนที่ชอบธรรม ไม่มีใครเลย” มุมมองต่างๆเกี่ยวข้องกับจุดกำเนิดของชีวิตซึ่งมีสติสัมปัญชัญญะในเหตุผลท่ามกลางผู้ที่ไม่เชื่อควรที่จะอย่างน้อยต้องสงสัย เพราะว่าพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า---พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นตลอด ผู้ซึ่งไม่เคยพูดปด---ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเชื่อและคิดจะต้องถูกพิพากษาต่อพรำของพระเจ้า เพื่อเข้าใจชีวิตด้านต่างๆเราจะต้องเข้าใจปรัชญาคริสเตียน ซึ่งหมายถึงเราจะต้องเริ่มต้นจากพระวจนะพระเจ้า ผู้ที่อยู่ที่นั่น ไม่ใช่เป็นการกระทำของมนุษย์ผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น

٢٠. มนุษย์ทั้งปวงและลูกหลานสืบเชื้อสายมาจากอาดัม

เพราะว่าพวกที่เชื่อในวิวัฒนาการ เป็นคริสเตียนผู้ที่พิจารณาว่าวัฒนธรรมบางอย่างรอบโลกนี้เป็น “ผลแรก” ในความรับรู้วิวัฒนาการ เขาไม่ได้”พัวพัน”กบฏวัฒนธรรมอื่นๆ อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ได้สอนใน “١ โตรินโธ ١٥:٤٥ ว่าอาดัมเป็นมนุษย์คนแรก ไม่มีเชื้อสายของมนุษย์ในการรับรู้ของวิวัฒนาการ พระธรรมโรม ٥:١٢ บอกเราว่าเพราะว่าความบาปของมนุษย์(อาดัม)วามตายก็ได้เข้ามาสู่มนุษย์ เพราะว่าทุกคนได้ทำบาปกันหมดวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในโลกนี้ทั้งหมดถ้าเกิดขึ้นตั้งแต่เวลาที่หอบาเบล ณ ที่นั้นประชาชนทั้งหลายเริ่มต้นพูดภาษาที่แตกต่างกันไป เป็นเหตุให้เขาได้เริ่มพูดภาษาที่แตกต่างกัน เป็นเหตุให้ออกไปอยู่ในที่ต่างๆบนพื้นผิวโลก

สิ่งที่มีชีวิตทั้งมวลมีบรรพบุรุษที่เหมือนกันคือ อาดัม นั่นก็คือทำไมเราทั้งหลายจึงมีปัญหาเหมือนกันคือบาปและมีความต้องการพระผู้ช่วย

ปัญหาที่เหมือนกันที่พระเจ้าได้ถามชนชาติอิสราเอลผ่านทางโยชูวาควรจะเป็นการเตือนที่เข้มงวดสำหรับเราที่เกี่ยวข้องกับใครที่เราควรเลือกที่จะเชื่อ ข้อความจากพระธรรมโยชูวา ٢٤:١٤ กล่าวว่า “เหตุฉะนั้น บัดนี้จงยำเกรงพระเยโฮวาห์และปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงใจและด้วยความจริง จงทิ้งพระเหล่านั้นซึ่งบรรพบุรุษของท่านได้เคยปรนนิบัติที่ฟากแม่น้ำข้างโน้น และในอียิปต์เสีย และท่านทั้งหลายจงปรนนิบัติพระเยโฮวาห์”

บางทีทุกวันนี้เราควรจะถามตัวเราเองโดยคำถามที่เหมือนกันว่า “คุณเลือกวันนี้ ใครที่คุณจะเชื่อ คำของมนุษย์ซึ่งเป็นชีวิตที่ถูกสร้างมาที่มีความบาป, ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์การสร้างโลกนั้นหรือว่าพระคำของพระเจ้าผู้ที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง, ผู้ที่อยู่ในการสร้างโลกนั้น,และเป็นผู้ที่เปิดเผยต่อเราทั้งหลายที่เราต้องการรู้”

ภาคผนวกที่ ٢

ทำไมพระเจ้าใช้ หก วัน?

เมื่อเราเปิดพระคัมภีร์และอ่านปฐมกาลบทที่หนึ่ง ก็ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงสร้างโลก,จักรวาล,และทุกสิ่งทุกอย่างในสิ่งเหล่านั้น,ในวันปกติหกวัน(โดยประมาณ ٢٤ ชั่วโมง) อย่างไรก็ตาม มีมุมมองหนึ่งในคริสตจักรของเราซึ่งได้เป็นที่พบโดยทั่วไปเป็นเวลาหลายปีที่ “วันทั้งหลาย”เหล่านี้อาจจะเป็น หลานพัน.หลายล้าน.หรือหลายพันล้านในช่วงเวลา สิ่งนี้เป็นสาระสำคัญที่ว่าวันเหล่านั้นยาวนานเท่าใด?เป็นไปได้ไหมที่จะกำหนดไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันปกติธรรมดาหรือวันที่มีช่วงเวลายาวนาน?

“วัน”คืออะไร?

สำหรับคำว่า”วัน” ในปฐมกาลบทที่ ١ คำในฮิบรูคือ “yom” สามารถมีความหมายทั้งหนึ่งวัน(ในวันธรรมดา ٢٤ ชั่วโมง).ส่วนที่เป็นกลางวันของวันที่มี٢٤ ชั่วโมงปกติ(เช่นวันที่แตกต่างจากกลางคืน),หรือบางครั้งบางคราววันได้ถูกใช้ในความหมายของเวลาที่ไม่จำกัด(เช่น “ในเวลาของผู้วินิจฉัย”หรือ”ในเวลาของพระเจ้า” โดยไม่มีการยกเว้นในพันธสัญญาเดิมที่เป็นภาษาฮิบรูคำว่า v“yom” ไม่เคยมีความหมายว่า”ช่วงเวลา”(เช่นคำนี้ไม่เคยใช้อ้างถึงช่วงเวลาที่ไม่จำกัดที่ยาวนานกับจุดเริ่มต้นและจุดจบที่เฉพาะ) คำที่มีความหมายช่วงระยะเวลาที่ยาวนานในภาษาฮิบรูคือ “olam” ยิ่งกว่านั้น เป็นความสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าเมื่อคำว่า”yom” vถูกนำมาใช้ในความหมายที่ไม่จำกัด ก็เป็นที่ชัดเจนว่าจากบริบทที่มีความหมายไม่จำกัดแต่ไม่ได้มีความหมายที่แท้จริงของคำว่า”วัน” ที่ได้ตั้งใจไว้

คนบางคนพูดคำว่า”วัน” ในปฐมกาลอาจเคยใช้อย่างเป็นสัญลักษณ์ และไม่ได้มีความหมายที่แท้จริง อย่างไรก็ตามจุดสำคัญที่หลายคนล้มเหลวที่จะคิดว่า”คำ”ไม่เคยนำมาใช้แบบเป็นสัญลักษณ์เมื่อมีความหมายครั้งแรกที่แท้จริง ในพันธ์สัญญาใหม่เรารู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็น.”ประตู”เรารู้ว่าหมายถึงอะไรเพราะว่าเรารู้คำว่าประตูหมายถึงทางเข้า เพราะว่าเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำนี้ สิ่งนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสัญลักษณ์เช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์ ดังนั้นเราเข้าใจว่า”พระองค์”ไม่ได้เป็นประตูที่แท้จริงตามตัวอักษร คำว่า “ประตู”ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในลักษณะนี้เว้นไว้แต่ว่าคำนี้ครั้งแรกมีความหมายที่แม้จริงเป็นอะไรเราจึงเข้าใจว่าหมายถึงอะไร ดังนั้นคำว่า “วัน”ไม่สามารถใช้อย่างเป็นสัญลักษณ์ในครั้งแรกที่ใช้คำนี้ในพระธรรมปฐมกาลเพราะว่าพระเจ้าไม่เพียงแต่แนะนำคำว่า”วัน”ในตำนาน แต่ยังนิยามคำนี้เหมือนอย่างที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา แท้จริงแล้วนี่เป็นเพราะว่าทำไมผู้เขียนพระธรรมปฐมกาลได้กลับไปสู่ความระมัดระวังอย่างมากในการนิยาม “วัน”ครั้งแรกที่ได้ปรากฏตำนี้ในพระธรรมปฐมกาลบทที่١ข้อที่ ٤ กล่าวว่า “ พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และพระเจ้าทรงแยกความสว่างนั้นออกจากความมืด” พระธรรมปฐมกาล บทที่ ١ ข้อที่ ٥ “พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่าวัน และพระองค์ทรงเรียกความมืดนั้นว่าคืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หนึ่ง” นี่เป็นวลีที่กล่าวเหมือนกันซึ่งเป็นการตั้งวงรอบของวันและคืน (เช่นเป็นช่วงของแสงและช่วงของความมืด”

วันหนึ่งวันกับดวงอาทิตย์

แต่ว่าเป็นได้อย่างไรที่มีวันและคืนถ้ายังไม่มีดวงอาทิตย์เล่า? ความชัดเจนอยู่ที่พระธรรมปฐมกาล บทที่ ١ที่ดวงอาทิตย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจนกระทั่งวันที่ ٤ พระธรรมปฐมกาล١:٣ บอกเราว่า “ พระเจ้าตรัสว่า "จงให้มีความสว่าง" แล้วความสว่างก็เกิดขึ้น” พระเจ้าได้สร้างแสงในวันแรกและวลี “เวลาเย็นและเวลาเช้า”แสดงว่ามีเวลาเช้าและเวลาเย็นที่สลับเปลี่ยนกัน ดังนั้นแสงนั้นได้เป็นสิ่งที่เกิดอยู่ ออกมาขากทิศทางหนึ่งตามที่โลกหมุน ผลลัพธ์ทำให้เกิดวงรอบกลางวันและกลางคืน อย่างไรก็ตามเราไม่ได้รู้จากการบอกเล่าว่าแสงมาจากที่ ไหน คำว่า “แสง”ในพระธรรมปฐมกาล ١:٣หมายถึงสสารของแสงที่ได้ถูกสร้างขึ้น แล้วในวันที่สี่ในพระธรรมปฐมกาล ١:١٤-١٩ เราได้รับรู้ว่าการทรงสร้างดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งที่มีแสงจากวันนั้นเป็นต้นมา

ดวงอาทิตย์ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะควบคุมวันที่เกิดขึ้นมาแล้ว วันก็เป็นวันเหมือนเช่นเดิม เป็นเพียงแต่ต้องการแหล่งที่เกิดแสง สามวันแรกของการทรงสร้าง(ก่อนที่จะมีดวงอาทิตย์)ก็เป็นวันที่มีลักษณะเหมือนกันกับสามวันที่มีดวงอาทิตย์

บางทีอาจจะเป็นการตั้งใจให้เหลือไว้ที่จะมีการทรงสร้างดวงอาทิตย์จนในวันที่สี่เพราะว่าพระองค์ทรงรู้ว่าวัฒนธรรมยุคภายหลังต่อมาอาจจะมีการนมัสการดวงอาทิตย์ในฐานะที่เป็นต้นกำเนิดชีวิต ไม่เพียงแต่สิ่งนี้ ทฤษฎีสมัยใหม่บอกเราว่าดวงอาทิตย์เกิดมาก่อนโลกมนุษย์ พระเจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงสร้างโลก และแสงก็เริ่มเกิดขึ้นพระองค์สามารถควบคุมวงรอบของกลางวันและกลางคืนและดวงอาทิตย์ก็ถูกสร้างขึ้นในวันที่สี่เหมือนกับเป็นเครื่องมือของพระองค์ที่จะทำให้ดวงอาทิตย์ให้แสงจากนั้นมา

บางที เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งคนทั่วไปมีแนวโน้มที่จะไม่นำวันแบบในพระธรรมปฐมกาลเป็นวันที่เราเห็นอยู่โดยปกติเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์มาแล้วว่าโลกมีอายุพันล้านปี แต่สิ่งนี้ไม่เป็นความจริง ไม่มีวิธีการใดที่รู้ถึงอายุของโลกที่แท้จริง นอกเหนือจากนี้มีพยานหลักฐานมากที่เกิดขึ้นกับความเชื่อเมื่อตอนเด็กๆเกี่ยวกับโลกที่ว่าอายุของโลกเพียงพันปี

Stop

เป็นสิ่งที่น่าคิดมาก คนที่กล่าวว่าหนึ่งวันคือล้านปีจะต้องตอบว่า “หนึ่งคืนเป็นอะไร?”

ทำไมหกวัน?

พระเจ้าเป็นผู้ที่ไม่จำกัด พระองค์มีอำนาจที่ไม่จำกัด,สัพพัญญู,มีสติปัญญาที่ไม่จำกัด เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าสามารถสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ตามพระประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าปรารถนา ที่สามารถสร้างกัลปจักรวาล โลกและทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่โดยไม่ ขึ้นอยู่กับเวลา บางทีคำถามที่เราควรจะถามว่าทำไมพระเจ้าทรงใช้เวลาในการทรงสร้างนานถึงหกวัน? หลังจากหกวันเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับสิ่งต่างๆที่ไม่จำกัด คำตอบสามารถพบได้จากพระธรรมอพยพ ٢٠:١١ “เพราะในหกวันพระเยโฮวาห์ทรงสร้างฟ้า และแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์” พระธรรมอพยพ บทที่ ٢٠ มีการบันทึก บัญญัติสิบประการ ที่จารึกไว้ที่หินโดย “นิ้วของพระเจ้า” ในอพยพเราอ่านได้ว่า “และเขาได้ให้แก่โมเสสและร่วมด้วยกันกับโมเสสที่ภูเขาซีนาย มีโต๊ะแห่งการเป็นพยานสองโต๊ะ โต๊ะที่เป็นหิน และเขียนด้วยนิ้วของพระเจ้า ในอพยพ ٣١:١٨ “แล้วเขาต้อนสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของเขาไป ขนข้าวของทั้งสิ้นที่เขาได้กำไรมา สัตว์เลี้ยงที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา ที่เขาหามาได้ในเมืองปัดดานอารัม เพื่อเดินทางกลับไปหาอิสอัคบิดาของเขาในแผ่นดินคานาอัน”

Six Days

บัญญัติข้อที่มี่ในข้อที่ ٩ ของบทที่ ٢٠ บอกเราว่า เราทำงานหกวันและหยุดพัก หนึ่งวัน และการพิพากษาสำหรับตอนนี้ได้กล่าวไว้ในข้อที่ ١١ “เพราะในหกวันพระเยโฮวาห์ทรงสร้างฟ้า และแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์” สิ่งนี้เป็นการอ้างอิงโดยตรงจากสัปดาห์ของการทรงสร้างในพระธรรมปฐมกาลบทที่ หนึ่ง เพื่อเป็นการยืนยันสิ่งใดก็ตามได้ถูกใช้โดยความหมายของ”วัน”ในปฐมกาลบทที่ หนึ่งก็ต้องใช้ที่นี่ ถ้าคุณต้องการที่จะกล่าวว่า”วัน”มีความหมายเป็นวันที่ยาวนานในพระธรรมปฐมกาลแล้ววันก็ถูกแสดงเพียงทางเดียวที่ให้ความหมายเป็น”วัน”ที่เป็นช่วงเวลาที่ไม่จำกัดและไม่สามารถกำหนดได้ ไม่ใช่เป็นวันที่มีช่วงเวลาที่แน่นอน ดังนั้นในความหมายของ พระธรรมอพยพบทที่ ٢٠:٩-١١ พระคัมภีร์กล่าวว่า “จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพราะในหกวันพระเยโฮวาห์ทรงสร้างฟ้า และแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์” ดังนั้นสิ่งนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเรายอมรับวันโดยที่เป็นวันปกติธรรมดา เราเข้าใจว่าพระเจ้าบอกกับเราว่า พระองค์ทำงานเจ็ดวันที่เป็นวันปกติและหยุดพักในวันที่เจ็ดเพื่อเป็นการจัดรูปแบบให้แก่มนุษย์ซึ่งเป็นรูปแบบเจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์ที่เราเข้าใจอยู่ในปัจจุบัน

วัน-อายุ ที่ไปด้วยกันไม่ได้

มีหลายอย่างที่ไปด้วยกันไม่ได้ในการยอมรับว่าวันในพระธรรมปฐมกาลเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน ตัวอย่างเช่น เราได้รับรู้จากพระธรรมปฐมกาล ١:٢٦-٢٨ “และพระเจ้าตรัสว่า "จงให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา ตามอย่างพวกเรา และให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และสัตว์ใช้งาน ให้ครอบครองทั่วทั้งแผ่นดินโลก และบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลก" ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายาของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบพระฉายาของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าได้ทรงอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสแก่พวกเขาว่า "จงมีลูกดกและทวีมากขึ้น จนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก” พระเจ้าได้สร้างมนุษย์คนแรก(อาดัม)ในวันที่หก อาดัมก็ได้มีชีวิตอยู่ตั้งแต่วันที่หกเป็นต้นมา เรารู้จากพระธรรมปฐมกาลบทที่ ٥:٥ ว่าอาดัมตายเมื่อมีอายุได้ ٩٣٠ ปี (เรายังคงไม่อยู่ในวันที่เจ็ดเหมือนอย่างบางคนที่เข้าใจผิดในพระธรรมปฐมกาล ٢:٢ “ในวันที่เจ็ดพระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น และในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างมาแล้วนั้น”ได้บอกเราว่าพระเจ้า “พัก”จากการงานทั้งสิ้นของพระองค์ ไม่ใช่ว่าพระองค์กำลังพักจากงานทรงสร้าง) เช่นถ้าในแต่ละวันเป็นระยะหนึ่งล้านปีก็จะมีปัญหา ความจริงแล้วถ้าหนึ่งวันมีระยะเวลายาวนานพันปีก็เป็นการไม่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับอายุที่เมื่ออาดัมตาย

วันหนึ่งเท่ากับพันปี

แต่ว่าได้มีการอ้างไว้ใน ٢ เปโตร ٣:٨ ซึ่งได้บอกเราว่า”แต่พวกที่รัก อย่าลืมข้อนี้เสีย คือวันเดียวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว” ข้อนี้ได้มีการอ้างถึงวันในพระธรรมปฐมกาลว่ามีระยะเวลายาวพันปี อย่างไรก็ตามเหตุผลนี้ผิดอย่างมาก ในสดุดี٩٠:٤ เราได้อ่านข้อความคล้ายกันคือ “เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว หรือเหมือนยามเดียวในเวลากลางคืน” จากข้อพระคัมภีร์ทั้งสอง บริบททั้งหมดคือพระเจ้าไม่ทั้งจำกัดขบวนการทางธรรมชาติด้วยเวลา และก็ไม่ได้อ้างถึงวันในพระธรรมปฐมกาล เพราะว่าเขาได้เกี่ยวข้องกับพระเจ้าที่ไม่ได้จำกัดเขตด้วยเวลา ใน ٢ เปโตร บทที่ ٣ บริบทจะเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในครั้งที่สองชี้ให้เห็นถึงความจริงที่ว่าวันหนึ่งของพระเจ้าเหมือนกับพันปีหรือพันปีเหมือนกับหนึ่งวันพระองค์อยู่นอกเหนือเวลา สิ่งนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับวันในพระธรรมปฐมกาลเลย

นอกจากนี้ใน ٢ เปโตร٣:٨ กล่าวว่า ”วัน” ตรงกันข้ามกับ “หนึ่งพันปี” คำว่า “วัน”มีความหมายที่แท้จริงซึ่ง

ถูกนำเข้าไปเชื่อมกับ”หนึ่งพันปี”ถ้าวันไม่ได้มีความหมายที่แท้จริง ดังนั้นพระคำพระเจ้าจากอัครทูตรเขียนถึงพระเจ้าสามารถทำในระยะเวลาที่รวดเร็วเมื่อมนุษย์หรือธรรมชาติต้องการเวลาที่นานเพื่อที่จะให้เกิดความสำเร็จ เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะสังเกตได้ว่านักวิวัฒนาการพยายามที่จะสร้างโอกาสหรือขบวนการเชิงสุ่มของธรรมชาติที่ต้องการล้านผปีเพื่อที่จะให้มีมนุษย์เกิดขึ้น คริสเตียนส่วนมากได้ยอมรับเวลาล้านปีนี้และได้เพิ่มเข้าไปในพระคัมภีร์แล้วกล่าวว่าพระเจ้าได้ใช้เวลาเป็นล้านปีเพื่อสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ ٢ เปโตร ٣:٨ ที่ว่าพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลา ในขณะที่วิวัฒนาการต้องการเวลา(เป็นสิ่งที่น่าคิดอย่างมาก”

วันและปี

จากพระธรรมปฐมกาล ١:١٤ “เราอ่านได้ว่าพระเจ้ากล่าวว่า”พระเจ้าตรัสว่า "จงให้มีดวงสว่างบนพื้นฟ้าอากาศเพื่อแยกวันออกจากคืน และเพื่อใช้เป็นหมายสำคัญ และที่กำหนดฤดู วันและปีต่างๆ” ถ้าคำว่า”วัน”ที่นี่ไม่ใด้มีความหมายที่แท้จริงของวัน แล้วคำว่า”ปี”ที่ใช้ในข้อความเดียวกันก็จะไม่มีความหมายเลย

วันและพันธ์สัญญา

กลับไปดูที่พระธรรมเยเรมีห์٣٣:٢٥-٢٦”พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้ว่า ถ้าเรามิได้สถาปนาพันธสัญญาของเรากับวันและคืน และสถาปนากฎต่างๆของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแล้วเราจึงจะทอดทิ้งเชื้อสายของยาโคบและดาวิดผู้รับใช้ของเรา และจะไม่เลือกผู้หนึ่งจากเชื้อสายของเขาให้ครอบครองเหนือเชื้อสายของอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ เพราะเราจะให้การเป็นเชลยของเขากลับสู่สภาพเดิม และจะมีความกรุณาเหนือเขา” พระเจ้าได้กล่าวแก่

เยเรมีห์ว่าพระองค์ได่ทำพันธ์สัญญากับวันและคืนซึ่งไม่สามารถทำลายได้และเกี่ยวพันกับสัญญาต่อลูกหลานของกษัตริย์ดาวิด รวมทั้งผู้หนึ่งที่ได้สัญญาไว้ว่าจะมาครองบัลลังก์(พระคริสต์)พันธ์สัญญานี้ระหว่างพระเจ้า วันและคืนเริ่มต้นจากพระธรรมปฐมกาลบทที่ ١ เพราะว่าพระเจ้าได้กำหนดครั้งแรกรวมถึงวันและคืนเมื่อพระเจ้าได้ตรัสแล้วสิ่งนั้นได้เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าพันธ์สัญญาระหว่างวันและคืนไม่ได้เป็นอยู่จริงเมื่อพระเจ้าตรัส(เช่นถ้าคุณไม่ได้นำพระธรรมปฐมกาล บทที่ ١ ที่ให้ความหมายที่แท้จริงว่าหกวันปกติ)แล้วพันธ์สัญญาที่พระเจ้าให้ผ่านทางเยเรมีห์ก็จะต้องฝังดินไปเลย

ความยาวของวันเป็นสาระหรือไม่?

สุดท้าย มีสาระสำคัญหรือไม่ที่เราจะยอมรับว่าวันเหล่านี้เป็นวันปกติธรรมดา? คำตอบคือ “ใช่”อย่างแน่นอน นี่เป็นหลักการอย่างแท้จริงที่เราเข้าสู่พระคัมภีร์ เช่นถ้าเราไม่รับว่าวันเหล่านี้เป็นวันปกติธรรมดา แล้วเราจะต้องมีคำถามว่า “วันเหล่านั้นเป็นอย่างไร?” คำตอบคือ “เราไม่รู้” ถ้าเราคิดว่าวันเป็นวันปกติธรรมดาเหมือนอย่างปัจจุบัน แล้วเราจะไม่สับสนเราก็จะเข้าสู่บทอื่นๆของพระธรรมปฐมกาลในทำนองเดียวกัน เช่นเมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้านำผงคลีดินออกมาแล้วสร้างเป็นอาดัม-สิ่งนี้จะมีความหมายว่าอย่างไร? ถ้าไม่ได้มีความหมายเหมือนที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้แล้วเราก็ไม่รู้ว่าความหมายคืออะไร?เราควรจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพดระธรรมปฐมกาล ยิ่งไปกว่านั้น ควรจะสังเกตว่าเราไม่สามารถตีความหมายได้อย่างแท้จริง เพราะว่าการตีความหมายอย่างแท้จริงจะไม่ตรงกับคำมี่ใช้ คุณทั้งเข้าใจความหมายและแปลความหมาย เป็นสิ่งที่สำคัญที่เราตระหนักว่าเราควรเข้าใจความหมายที่แท้จริงเว้นเสียแต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนและเมื่อเป็นสัญลักษณ์ทั้งบริบทจะทำให้ชัดเจนและจะบอกไว้ในประโยคที่เขียน

ถ้ามีคนพูดว่าเราไม่รู้คำว่า”วัน”เป็นอะไรมีความหมายอย่างไรในพระธรรมปฐมกาลคนอีกคนหนึ่งสามารถพูดถึงความหมายที่แท้จริงจะถูกกล่าวหาว่าให้ความหมายผิดไหม? คำตอบคือ “ไม่” เพราะว่าคนที่ยอมรับว่าวันในพระธรรมปฐมกาลเป็นวันปกติธรรมดาเขารู้ว่าวันเหล่านั้นมีความหมายอย่างไรผู้ที่ไม่ยอมรับก็เป็นผู้ที่ผิด

คนทั่วไปพยายามที่จะใช้คำ”วัน”กล่าวถึงสิ่งอื่นๆเพราะว่าพวกเขาพยายามที่จะสร้างบริเวณสำหรับอายุที่ยาวนานของภูมิศาสตร์วิวัฒนาการ สิ่งนี้ไม่เกิดผลเพราะว่าอายุที่สมมติเหล่านี้ได้ถูกแทนโดยฟอสซิลที่แสดงถึงความตายและความดิ้นรนและดังนั้นคุณก็ปล่อยปัญหาการตายและการดิ้นรนต่อสู้ก่อนอาดัมพระคัมภีร์ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีความตายและการทนทุกข์ก่อนอาดัมทำบาป

เมื่อคนทั่วไปยอมรับคุณนี้ที่พระธรรมปฐมกาลกำลังสอนอะไรและยอมรัยว่าวันในพระคัมภีร์เป็นวันปกติธรรมดาพวกเขาจะไม่มีปัญหาในการเข้าใจในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆต่อจากพระธรรมปฐมกาล

พระธรรมอพยพ ٢٠:١١ กล่าวว่า “เพราะในหกวันพระเยโฮวาห์ทรงสร้างฟ้า และแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์”

Help Translate

Please help us provide more material in Thai.

Help Translate

Visit our English website.